30 มิถุนายน 2556

เส้นทางที่หักเหของ( อดีตพระอาจารย์ ) มิตซูโอะ มิฮาบาชิ

จากที่ผมนำเสนอบทความ ชีวประวัติของ อาจารย์มิตซูโอะ มิฮาบาชิ หรืออดีตพระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก แห่งวัดป่าสุนันทาราม ในเรื่อง “อาจารย์มิตซูโอะ มิฮาบาชิ ( คเวสโก) เพชรน้ำหนึ่งแห่งพระพุทธศาสนา ” โดยจบที่การลาสิกขาบทของท่าน ซึ่งกลายเป็นข่าวดังไปเมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

ตอนแรกผมก็คิดว่า จะจบเรื่องราวของท่านไว้แต่เพียงเท่านั้น ส่วนในภายภาคหน้าหากมีเรื่องราวดีๆที่น่าชื่นชมเกี่ยวกับท่านก็จะนำมาถ่ายทอดใหม่ในโอกาสต่อไป ให้สมกับแนวคิดของบล็อก “ไอดอลแมน”นี้ ที่มุ่งนำเสนอเรื่องราวดีๆอันน่าชื่นชมของบุคคลต้นแบบในสังคม

แต่แล้วไม่ทันข้ามเดือน ก็มีเรื่องราวของอาจารย์มิตซูโอะที่เป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ในสังคม นั่นคือการมีภาพข่าวออกมาว่า ภายหลังลาสิกขาบท ท่านไม่ได้เดินทางกลับญี่ปุ่นอย่างที่เป็นข่าวก่อนหน้า ทว่ากลับมีภาพถ่ายของท่านกับหญิงสาวที่คาดว่าเป็นคู่รักของท่านถูกเผยแพร่ทางโลกออนไลน์ จนกลายเป็นข้อคลางแคลงใจเกี่ยวกับสาเหตุที่แท้จริงในการลาสิกขาบทของท่าน

เรื่องเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 27 มิถุนายนที่ผ่านมา เมื่อในโลกออนไลน์และโซเชียลมีเดียปรากฏภาพของอาจารย์มิตซูโอะ ถ่ายคู่กับหญิงสาวหน้าตาดีคนหนึ่ง ตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ในลักษณะสนิทสนมราวกับเป็นคู่รัก โดยต้นตอของภาพมาจากการโพสในเฟสบุ๊คของหญิงสาวที่ปรากฎในภาพ ซึ่งใช้ชื่อว่า Suttirat Muttamara ( สุทธิรัตน์ มุตตามระ) จนกลายเป็นที่ฮือฮาและเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมาอีกครั้งทั้งในโลกออนไลน์และสื่อมวลชนแขนงต่างๆ
มิซซูโอะ +สุทธิรัตน์
มิซซูโอะ +สุทธิรัตน์
มิซซูโอะ +สุทธิรัตน์
มิซซูโอะ +สุทธิรัตน์
( ขอบคุณภาพจาก facebook คุณ Suttirat Muttamara )
ในวันแรกที่ภาพเหล่านั้นถูกเผยแพร่และส่งต่อ ยังคงมีข้อกังขาอยู่ว่า ชายที่เห็นในภาพคือ อดีตพระอาจารย์มิตซูโอะจริงหรือเพียงคนหน้าคล้าย แต่หญิงสาวผู้โพสภาพก็ได้โพสข้อความในเฟสบุ๊คของเธอด้วยว่า
สุทธิรัตน์ โพส
"ขอบคุณสำหรับผู้ที่ไม่หวังดีต่อดิฉัน ที่กล่าวหาว่าดิฉันวางยา Blackmail อาจารย์มิตซูโอะ โดยมีเจตนาทำให้ดิฉันเสื่อมเสียชื่อเสียง จึงทำให้อาจารย์มิตซูโอะผู้ที่มีเมตตา และความรักต่อดิฉัน จะต้องออกมาปกป้องศักดิ์ศรีของดิฉัน ด้วยการเปิดเผยความจริงต่อสังคมเร็วๆนี้ ขอบคุณอีกครั้ง"
 
จึงเป็นอันยืนยันว่า ภาพที่เห็นคือ อดีตพระอาจารย์มิตซูโอะจริงๆ
 
วิทเยน ชี้แจง
ในส่วนความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์มิตซูโอะกับคุณสุทธิรัตน์นั้น  ในวันต่อมา คุณวิทเยนทร์ มุตตามระ กรรมการผู้จัดการ บลูสกายแชนเนล และเป็นน้องชายของคุณสุทธิรัตน์ ได้โพส      ข้อความลงในเฟสบุ๊คส่วนตัว ยอมรับว่าพี่สาวของตนเป็นคู่รัก   ของอาจารย์มิตซูโอะจริง และแสดงความเห็นว่า ทั้งสองเป็นผู้ใหญ่แล้ว และอาจารย์มิตซูโอะก็เคยบวชมาหลายสิบพรรษาโดยไม่เรื่องมัวหมองอันใด เมื่อท่านลาสิกขาบทแล้ว ก็เป็นสิทธิอันชอบธรรมหากทั้งคู่จะตกลงปลงใจใช้ชีวิตร่วมกัน
ทางด้านของอาจารย์มิตซูโอะเองก็ออกมายอมรับในเวลาต่อมา ว่าได้พาคุณสุทธิรัตน์หรือคุณแอนไปจดทะเบียนสมรสแล้ว โดยท่านบอกว่า ตลอดเวลาหลายพรรษาที่บวชมาไม่เคยประพฤติผิดให้มัวหมอง และไม่เคยคิดจะสึก แต่เมื่อพบคุณแอนก็เชื่อว่าเป็นเนื้อคู่แต่ชาติปางก่อน จึงลาสิกขาบทเพื่อใช้ชีวิตร่วมกัน
จดหมาย มิตซูโอะ
( จดหมายจากอาจารย์มิตซูโอะ)

( คำแถลง จาก อาจารย์มิตซูโอะ)
 
ผู้ที่ทราบเรื่องส่วนใหญ่ก็เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น แม้หลายคนจะบอกว่ารู้สึกหดหู่และเสียดาย แต่ก็ยอมรับได้ ( มีบางส่วนที่เกิดอาการช็อกและรับไม่ได้ เพราะเชื่อมั่นในตัวอดีตพระจารย์ท่านนี้มาก)  และมองว่าเป็นเรื่องถูกต้องแล้วที่อาจารย์มิตซูโอะลาสิกขาบทเพื่อมาใช้ชีวิตร่วมกับหญิงสาวอันเป็นที่รัก ดีกว่าอยู่ในสมณเพศให้เป็นที่มัวหมองแก่ศาสนา ซึ่งกรณีความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์มิตซูโอะกับคุณแอนนั้น ผู้คนส่วนใหญ่ก็เชื่อว่าไม่มีเรื่องเสื่อมเสีย เพราะก่อนหน้าที่อาจารย์มิตซูโอะจะลาสิกขาบท ก็ไม่มีภาพความสนิทสนมของทั้งคู่ให้เป็นที่ระแคะระคาย นอกเสียจากเป็นลูกศิษย์กับพระอาจารย์เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีข้อมูลอีกมุมหนึ่งที่มีผู้อ้างเป็นลูกศิษย์ใกล้ชิดออกมา “แฉ” ในมุมกลับกัน ในทำนองว่า ฝ่ายหญิงมีท่าทีพึงพอใจในตัวพระอาจารย์มาตั้งแต่ต้น พยายามหาทางใกล้ชิดสนิทสนม ในลักษณะต้องการครอบครองเป็นเจ้าของ ถึงกับมีเรื่องเล่าในลักษณะที่ว่า หญิงสาวผู้นี้เป็นผู้สึกพระ!!!

แต่ด้วยความที่ข้อมูลดังกล่าวยังไม่ได้รับการยืนยันว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่เพียงใด ผมจึงไม่ขอนำเสนอรายละเอียดไว้ในที่นี้ ในตอนนี้คงเพียงขอสรุปอย่างให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายว่า อดีตพระอาจารย์มิตซูโอะเป็นพระที่เคยทำคุณประโยชน์แก่พระพุทธศาสนาและสังคม จนได้รับความเคารพศรัทธาและเชื่อมั่นจากญาติโยมและประชาชนเป็นอย่างมาก จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่หลายคนจะทำใจยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก

ในขณะเดียวกัน ตราบใดที่ยังไม่มีสิ่งที่ฟ้องว่า ความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์มิตซูโอะกับหญิงสาวอันเป็นที่รัก เกิดขึ้นและดำเนินไปอย่างไม่ถูกทำนองคลองธรรม ก็ย่อมเป็นสิทธิอันชอบธรรมของทั้งคู่ที่จะเลือกเส้นทางชีวิตตามที่ตนต้องการ แม้ว่าจะเป็นเส้นทางที่หักเหไปจากเดิมจนแทบไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ก็ตาม
















16 มิถุนายน 2556

อาจารย์มิตซูโอะ มิฮาบาชิ ( คเวสโก) เพชรน้ำหนึ่งแห่งพระพุทธศาสนา


พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก้
เมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา มีข่าวหนึ่งเป็นที่ฮือฮาและสร้างความตกตะลึง โดยเฉพาะในวงการพระพุทธศาสนา นั่นคือ ข่าวการลาสิกขาบทของพระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก เจ้าอาวาสวัดป่าสุนันทวนาราม จ.กาญจนบุรี ซึ่งเป็นพระนักปฏิบัติและเผยแพร่ศาสนา ผู้สร้างคุณประโยชน์แก่พระพุทธศาสนามาเป็นเวลาเกือบ 40 ปี ดังนั้น ข่าวการสละเพศบรรชิตของท่านจึงเปรียบเสมือนฟ้าผ่าลงมาโดยไม่มีใครคาดคิด



มิตซูโอะ มิฮาบาชิ
พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก เดิมชื่อ มิตซูโอะ มิฮาบาชิ เป็นชาวดินแดนซากุระ ถือกำเนิดที่จังหวัดอิวาเตะ ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ.2494 สำเร็จการศึกษาไฮสคูล  (เทียบเท่าระดับ ปวช. หรือ มศ.5 ตามระบบการศึกษาไทย) สาขาเคมี ณ เมืองโมะริโอกะ จังหวัดอิวาเตะ

หลังจากเรียนจบ ทำงานเก็บเงินได้ก่อนหนึ่ง มิตซูโอะ มิฮาบาชิ ในวัย 20 ปี ได้เดินทางออกจากญี่ปุ่น ใน พ.ศ. 2514 เพื่อแสวงหาสัจธรรมของชีวิต โดยท่องเที่ยวไปในประเทศต่างๆในเอเชียใต้ ตะวันออกกลาง และยุโรป เป็นเวลา 2 ปีเศษ

จนกระทั่งท่านเข้ามาที่ประเทศไทยในราวปี พ.ศ.2517 และได้เปลี่ยนแผนการเดินทางจากเดิมที่จะมุ่งหน้าต่อไปยังทวีปแอฟริกา ก็เบนเข็มกลับไปยังพุทธคยา ประเทศอินเดีย ซึ่งเคยไปมาก่อนหน้านั้นแล้ว

เมื่อได้กลับไปเห็นพระพุทธรูปที่ประดิษฐาน ณ พุทธคยา อาจารย์มิตซูโอะได้ค้นพบความจริงว่า “นี่คือสิ่งที่แสวงหาสัจจะความจริงอยู่ภายในกายกับใจของเรานี้เอง ความสุขที่แท้จริงอยู่ที่ใจทุกคน ทุกชีวิตสามารถพ้นทุกข์ได้ ” ท่านจึงหยุดการแสวงหาสัจธรรมภายนอก มุ่งค้นหาความสุขจากภายใน เริ่มจากการเป็นโยคี ณ สำนักโยคีแห่งหนึ่งในอินเดีย ซึ่งท่านตั้งใจจะบำเพ็ญเพียรเช่นนั้นตลอดชีวิต แต่เกิดปัญหาเรื่องวีซ่าหมดอายุ แระกอบกับได้รับคำแนะนำให้เข้ามาศึกษาพระพุทธศาสนาในประเทศไทย ท่านจึงกลับมาเมืองไทย และบรรพชาเป็นสามเณร ที่วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม กรุงเทพมหานคร
พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก้
หลังจากบรรพชาได้สามเดือน  สามเณรมิตซูโอะ วัย 24 ปีได้รับคำแนะนำให้ไปกราบและศึกษาธรรมกับหลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี จนสามเณรมิตซูเอะรู้สึกซาบซึ้งในพระธรรม จึงขออุปสมบท โดยหลวงพ่อชาเป็นอุปัชฌาย์ให้ เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ.2518 ได้รับฉายา “คเวสโก” แปลว่า “ผู้แสวงหาซึ่งฝั่ง” นับว่าเป็นสิทธิวิหาริกรุ่นแรก คือ ลูกศิษย์รุ่นแรกที่หลวงพ่อชาอุปสมบทให้


พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก้
พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก ตั้งใจศึกษาและปฏิบัติธรรมตามแนวทางวัตรปฏิบัติของหลวงพ่อชามาอย่างต่อเนื่อง ท่านเคยเล่าไว้ในหนังสือ “เราเกิดมาทำไม” ถึงแนวทางการปฏิบัติต่างๆของท่านที่บ่งบอกว่า ท่านเป็นนักปฏิบัติที่น่าเลื่อมใสรูปหนึ่งเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นการถือเนสัชชิก คือ ปฏิบัติในอิริยาบถ 3 อันได้แก่ เดิน ยืน นั่ง โดยไม่นอน ตลอดพรรษา การอดข้าวหนึ่งเดือน ฉันแต่น้ำเปล่า การเข้าห้องกรรมฐาน เก็บอารมณ์ ณ วัดสังฆทาน (หลวงพ่อสนอง) จังหวัดนนทบุรี ปิดวาจา เจริญกรรมฐาน เป็นเวลา ๒ ปี ( พ.ศ.2523 - 2524) หรือการออกธุดงค์ไปในที่ต่างๆ

พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก้
ใน พ.ศ. ๒๕๒๕ พระอาจารย์มิตซูโอะ ได้ขออนุญาตหลวงพ่อชาออกธุดงค์และปฏิบัติธรรมที่ประเทศอินเดีย เป็นเวลา ๑ ปี ก่อนจะกลับมาเมืองไทยเพื่ออุปัฎฐากหลวงพ่อชาที่อาพาธร่วมกับคณะศิษยานุศิษย์หลวงพ่อชา และได้ปฏิบัติธรรม ณ วัดหนองป่าพง และวัดป่านานาชาติจังหวัดอุบลราชธานี เป็นเวลา ๓ ปี  
               
การธุดงค์ครั้งสำคัญครั้งหนึ่งของพระอาจารย์มิตซูโอะเกิดขึ้นในปี พ.ศ.2532
พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก้
โดยท่านและลูกศิษย์คือ พระญาณรโต ร่วมกันเดินธุดงค์จากสนามบินนาริตะไปยังเมืองฮิโรชิมา ประเทศญี่ปุ่น เพื่อเผยแพร่พระพุทธศาสนา และรำลึกถึงอนุสรณ์สถานแห่งสันติภาพ ระยะเวลาเดิน ๗๒ วัน ระยะทางประมาณ ๑,๐๐๐ กิโลเมตร ซึ่งตลอดทางได้โปรดญาติโยมทั้งไทยและญี่ปุ่นไปด้วยโทรทัศน์ของประเทศญี่ปุ่นติดตามถ่ายภาพทำสารคดีออกอากาศตลอดเส้นทาง ถือว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งในการเผยแผ่พุทธศาสนาสายเถรวาท โดยแสดงให้เห็นถึงการใช้ชีวิตที่เรียบง่ายแบบพระธุดงค์ โดยยึดปฏิบัติธุดงควัตรเป็นหลัก

และจากการธุดงค์ครั้งนั้น ทำให้พระอาจารย์มิตซูโอะได้เกิดแนวคิดดีๆจากสิ่งที่พบเห็นในระหว่างการธุดงค์ อย่างหนึ่งนั่นก็คือ การที่เห็นคนญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับเด็กและเยาวชน ในฐานะทรัพยากรบุคคลอันทรงคุณค่า ที่จะเติบโตมาเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ จึงเป็นแนวคิดสำคัญที่ทำให้ท่านก่อตั้งมูลนิธิมายา โคตมี ขึ้นใน พ.ศ. 2532
download
โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญ เพื่อให้ทุนการศึกษาแบบต่อเนื่อง ตั้งแต่ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นจนถึงอุดมศึกษา ควบคู่ไปกับการจัดอบรมจริยธรรมให้แก่นักเรียนที่ด้อยโอกาสในท้องถิ่นชนบทของประเทศไทย โดยเฉพาะในจังหวัดอุบลราชธานี อันเป็นสถานที่ที่ท่านได้อุปสมบทและปฏิบัติธรรม

ในปีถัดมา (พ.ศ. 2533 ) นางสุนันท์ บุษสาย คหบดีชาวจังหวัดกาญจนบุรี ผู้ประกอบกิจการเหมืองแร่ในพื้นที่ป่าเต่าดำ ตำบลวังกระแจะ อำเภอไทรโยค ป่าลึกในเขตอุทยานไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี มีความศรัทธาอย่างแรงกล้าในพระธุดงค์กรรมฐานศิษย์หลวงพ่อชา จึงได้ถวายที่ดิน 500 ไร่ ซึ่งเป็นป่าเสื่อมโทรมจากการทำไร่อ้อยของราษฎรในเขตบ้านท่าเตียน ตำบลไทรโยค อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี เพื่อจัดตั้งวัด ทั้งนี้เพื่อพระสงฆ์จะได้มีเสนาสนะวัด และชาวบ้านจะได้มีโอกาสเข้าวัดปฏิบัติธรรมตามแนวทางสายวัดป่า พระอาจารย์มิตซูโอะ ได้รับมอบหมายให้ไปเป็นผู้บุกเบิกก่อตั้งสำนักสงฆ์ชื่อ “วัดป่าสุนันทวนาราม” ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 เป็นต้นมา
พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก้
สำนักสงฆ์วัดป่าสุนันทวนาราม ได้รับการฟื้นฟูทั้งพื้นที่ตั้งและพื้นที่ป่าโดยรอบ เพื่อให้เหมาะแก่การปฏิบัติธรรม ภายใต้การนำของพระอจารย์มิตซูโอะ คเวสโก โดยเริ่มสร้างสถานที่อบรมและปฏิบัติธรรมตั้งแต่ พ.ศ.2539 และพระอาจารย์มิตซูโอะได้เริ่มอบรมการปฏิบัติธรรมแบบอานาปานสติแก่ญาติโยมเป็นครั้งแรกในปลายปี 2539 ก่อนจะมีการเปิดอบรมตามคำขอของสถานบันต่างๆที่ส่งบุคคลากรเข้ามารับการอบรมอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

สำนักสงฆ์วัดป่าสุนันทวนาราม ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้า โปรดกระหม่อม พระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อวันที่ ๒๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๕ โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๕ โดย สมเด็จพระพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนากรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงพระกรุณาเสด็จฯ เป็นองค์ประธานประกอบพิธีตัดลูกนิมิต ผูกพัทธสีมาอุโบสถ วัดสุนันทวนาราม ในวันที่ ๒๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๕ ส่งผลให้วัดป่าสุนันทวนราม ได้สถาปนาเป็นวัดโดยสมบูรณ์และดำรงสถานภาพเป็นวัดสาขาลำดับที่ ๑๑๗ ของวัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี และได้มีการแต่งตั้งพระมิตซูโอะ คเวสโก เป็นเจ้าอาวาสวัดสุนันทวนาราม ตั้งแต่วันที่ ๑๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๕

พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก้
ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่พระอาจารย์มิตซูโอะดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส ท่านได้พัฒนาทั้งสถานที่ตั้งวัด สภาพผืนป่าโดยรอบ รวมทั้งพัฒนาจิตใจของญาติทั้งในและนอกพื้นที่มาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นการอบรม ปฏิบัติธรรม การเผยแพร่หลักธรรมคำสอนและแนวทางการปฏิบัติตามวิถีพุทธผ่านทางผลงานเขียนหนังสือมากมายหลายเล่ม จึงนับได้ว่า ท่านเป็นเพชรน้ำหนึ่งอันล้ำค่าอีกเม็ดหนึ่งของวงการพระพุทธศาสนา

แต่แล้วจู่ๆเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2556 ที่ผ่านมา มีข่าวว่า พระอาจารย์มิตซูโอะ ได้ลาสิกขาบทที่วัดชนะสงคราม กรุงเทพมหานคร และเดินทางกลับบ้านเกิดของท่านที่ประเทศญี่ปุ่น นับว่าเป็นข่าวที่สร้างความตกตะลึงและประหลาดใจแก่ผู้ที่ได้รับทราบเป็นอย่างมาก จนอีกสองวันต่อมา ( 10 มิ.ย.56 ) ได้มีแถลงการณ์จากพระอาจารย์หนูพรม สุขาโต รักษาการณ์เจ้าอาวาสวัดป่าสุนันทวนาราม ยืนยันว่า พระอาจารย์มิตซูโอะ ได้ลาสิกขาบทและเดินทางกลับประเทศญี่ปุ่นแล้วเป็นความจริง
มิตซูโอะ1
สำหรับเหตุผลของการลาสิกขาบทนั้น ผู้ใกล้ชิดให้เหตุผลว่า อาจารย์มิตซูโอะมีปัญหาด้านสุขภาพ โดยเฉพาะโรคเบาหวาน ซึ่งท่านเคยปรารภว่าอาจจะเป็นอุปสรรคในการดำเนินการเผยแพร่พระพุทธศาสนาในสถานภาพของสมณะ ท่านจึงลาสิกขาบทเพื่อรักษาตัว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นท่านก็ยังคงยืนยันปณิธานในการบำเพ็ญประโยชน์เพื่อพระพุทธศาสนาและพุทธศาสนิกชนต่อไป โดยเหตุผลที่ท่านเดินทางกลับญี่ปุ่น ก็เพื่อต้องการกลับไปช่วยเหลือพี่น้องร่วมชาติของท่านด้วย

ในฐานะชาวพุทธคนหนึ่ง ผมเลื่อมใสศรัทธาในปฏิปทาและปณิธานของอาจารย์มิตซูโอะ และเชื่อว่า ไม่ว่าท่านจะอยู่ในสมณเพศหรือคฤหัสถ์ อาจารย์มิตซูโอะ ก็จะยังคงเป็นปูชนียบุคคลที่ทรงคุณค่าอยู่เสมอ ประดุจเพชรน้ำหนึ่งที่ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด คุณค่าของความเป็นเพชรก็ยังจะคงอยู่ตลอดไป

2 มิถุนายน 2556

ทนุธรรม จันโทกุล “กู้ภัยหน้าผี” ผู้อุทิศตนทำความดี จนกลายเป็น “กู้ภัยเทวดา”

เมื่อวันศุกร์ ( 31 พ.ค.) ที่ผ่านมา รายการ “ปากโป้ง” ซึ่งออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 8 เวลา 10.30 น.และ 21.00 น.ดำเนินรายการโดย หนุ่ม -กรรชัย กำเนิดพลอย และเข็ม – ลภัสดา ( รุจิรา)  ช่วยเกื้อ  ได้นำเสนอเรื่องราวของอาสาสมัครกู้ภัย “ป่อเต็กตึ๊ง” รายหนึ่ง ซึ่งเคยประสบอุบัติเหตุถูกไฟคลอกจนเสียโฉม แต่รอดชีวิตมา และเข้ามาเป็นอาสาสมัคร ที่ปฏิญาณตนว่าทำความดี ช่วยเหลือผู้เดือดร้อนและประสบภัยไปจนตลอดชีวิต

กู้ภัยหน้าผี
เขาคือ นายทนุธรรม จันโทกุล วัย 56 ปี เจ้าของฉายาที่เคยถูกเรียกกันในวงการกู้ภัยว่า “กู้ภัยหน้าผี” ซึ่งปัจจุบันได้มีคนเปลี่ยนสมญาใหม่ให้เขาเป็น “กู้ภัยเทวดา”


ผมได้ดูคลิปย้อนหลังทาง Youtube ที่ทางช่อง 8 อัพโหลดไว้ตั้งแต่ต้นจนจบ แล้วเกิดความรู้สึกหลายอย่าง ทั้งเวทนาในชะตากรรม ในขณะเดียวกันก็ชื่นชมและตื้นตันใจในความตั้งใจดีอันแน่วแน่ของชายคนนี้ และที่สุดแล้วผมจึงไม่ลังเลที่จะนำเรื่องราวของเขามาถ่ายทอดต่อในบล็อก “ไอดอลแมน” นี้

คุณลุงทนุธรรม หรือที่เพื่อนร่วมวงการกู้ภัยเรียกว่า “ป๋า” เคยประสบอุบัติเหตุถูกไฟคลอกในเหตุการณ์รถบรรทุกแก๊สระเบิดที่ถนนเพชรบุรี เมื่อ พ.ศ.2533 ซึ่งโศกนาฏกรรมครั้งนั้นก่อให้เกิดความเสียหายและมีคนเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก จนกลายเป็นฝันร้ายที่ยังหลอกหลอนใครหลายคนอยู่ รวมถึง “ป๋า” ที่ถึงแม้จะรอดชีวิตมาได้ด้วยการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งที่นำส่งโรงพยาบาลได้ทัน แต่ “ป๋า”ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส ถูกไฟคลอกเป็นบริเวณกว่า 40 % ของร่างกาย ซึ่งหมอบอกว่า ต้องใช้เวลารักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเป็นเวลาถึง 4 ปี

แต่ด้วยความอึดอัดและไม่อยากนอนโรงพยาบาล “ป๋า” จึงตัดสินใจหนีออกมา หลังจากนอนพักรักษาตัวอยู่ได้เพียง 4 เดือนและผ่านการผ่าตัดมาแล้ว 9 ครั้ง

เมื่อหนีออกมาจากโรงพยาบาล แทนที่จะกลับไปนอนพักหรือใช้ชีวิตอย่างคนเจ็บ ทว่า “ป๋า”กลับตั้งเจตจำนงว่าจะเข้าไปเป็นอาสาสมัครกู้ภัยของป่อเต็กตึ๊ง ด้วยความสำนึกในบุญคุณของมูลนิธิดังกล่าวที่ช่วยชีวิตตนไว้ จึงอยากจะใช้ชีวิตที่รอดมาได้ในการทำประโยชน์ส่งต่อแก่ผู้เดือดร้อนรายอื่น

แต่สภาพร่างกายที่ไม่เต็มร้อยก็กลายเป็นอุปสรรคสำคัญในการจะทำตามความตั้งใจของป๋าในยุคแรกๆ เพราะพิษจากไฟนรกคราวนั้นไม่ได้ทำลายแค่ผิวหนังของป๋า ทว่ายังพาเอาประสาทสัมผัสของดวงตาข้างขวาและหูข้างซ้ายของป๋าไปด้วย  แต่ป๋าก็ยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจ เมื่อยังเข้าร่วมมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งไม่ได้ในช่วงแรก ป๋าจึงเข้าไปทำงานกับชมรมวิทยุฉิมพลี ซึ่งทำงานอาสาสมัครในลักษณะเดียวกัน และป๋ามีคนรู้จักอยู่ในชมรมดังกล่าว ก่อนที่จะได้รับการช่วยเหลือให้เข้ามาเป็นอาสาสมัครกู้ภัยของป่อเต็กตึ๊งสมใจ
กู้ภัยหน้าผี
แม้เมื่อเข้ามาเป็นอาสาสมัครกู้ภัยฯได้แล้ว ป๋าก็ยังต้องเผชิญกับคำปรามาส สบประมาทในช่วงแรกๆจากกู้ภัยคนอื่นๆ ในทำนองว่า สภาพร่างกายแบบนี้น่าจะไปรักษาตัวมากกว่าจะมาช่วยเหลือคนอื่น แต่ป๋าทนุธรรมก็ยังยืนหยัดในความตั้งใจอันแน่วแน่ของตน

ซึ่งอันที่จริง ป๋าไม่ได้แค่ความตั้งใจเท่านั้น แต่ป๋ายังสามารถปฏิบัติงานช่วยเหลือ กู้ภัยได้จริง และทำได้ดีจนกลายเป็นที่ยอมรับทั้งของเพื่อนร่วมวงการและประชาชนทั้วไปในเวลาต่อมา

ฉายา “กู้ภัยหน้าผี” กลายเป็นที่รู้จักและกล่าวขวัญ ในฐานะที่เป็นอาสาสมัครกู้ภัยที่เดินหน้าปฏิบัติงานอย่างจริงจัง เต็มที่  จากคำบอกเล่าของเพื่อร่วมงาน ป๋าทนุธรรมจะเป็นมักจะขี่มอเตอร์ไซค์ฮาเลย์ไปถึงจุดเกิดเหตุเป็นคนแรก ซึ่งนั่นก็เป็นที่มาของฉายา “โกสต์ไรด์เดอร์ ” อีกฉายาหนึ่งที่กู้ภัยหนุ่มๆเรียกป๋า
นอกจากนี้ วีรกรรมอันน่ายกย่องของ “กู้ภัยหน้าผี” ยังปรากฎเด่นชัดในช่วงมหาอุทกภัย เพื่อนร่วมงานเล่าว่า ป๋าจะเป็นคนลุยเข้าไปลากจูงศพผู้เสียชีวิตที่ลอยตามน้ำออกมา ซึ่งไม่ค่อยมีอาสาสมัครคนใดอยากรับหน้าที่ดังกล่าว แต่ “กู้ภัยหน้าผี” คนนี้ยินดีทำอย่างไม่หวาดหวั่นพรั่นพรึง จนกลายเป็นบุคคลที่เป็นที่ต้องการและถูกเรียกหาเสมอ

และด้วยวีรกรรมเด่นในช่วงน้ำท่วม ทำให้เขาได้รับสมญานามใหม่เป็น “กู้ภัยเทวดา” เรื่องของเรื่องก็คือว่า ครั้งหนึ่งเมื่อปี 2554 ป๋าทนุธรรมไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมแถวบางบัวทอง มีสื่อมวลชนรายหนึ่งที่ตามไปทำข่าว และเรียกฉายาป๋าทนุธรรมว่า “กู้ภัยหน้าผี” เมื่อชาวบ้านได้ยิน จึงทักท้วงให้เปลี่ยนฉายาใหม่ เรียกเขาว่า “กู้ภัยเทวดา” แทน

กู้ภัยหน้าผี4
แต่สำหรับความรู้สึกของเจ้าของฉายา ป๋าทนุธรรมบอกว่า ไม่ว่าใครจะเรียกอย่างไรเขาก็ไม่สน เพราะสิ่งสำคัญในใจของเขาคือ การได้ทำหน้าที่ข่วยเหลือผู้เดือดร้อน ซึ่งเป็นปณิธานอันแน่วแน่ แม้บางครั้งกำลังใจจะสั่นคลอนไปบ้าง อย่างเช่นครั้งหนึ่งที่ไปช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมกลับมา แล้วพบว่าสำนักงานกู้ภัยของตนเองถูกน้ำท่วม พัดพาทรัพย์สินสูญหายไปเกือบหมด แต่เขาก็ไม่ท้อ ยังลุกขึ้นยืนหยัดและเดินหน้าทำความดีต่อไป และเมื่อได้รับคำถามว่า ตั้งใจจะทำต่อไปถึงเมื่อไหร่ กู้ภัยเทวดาก็ตอบอย่างมั่นใจว่า

“จะทำไปจนตายครับ….!!”
(ชมคลิป รายการ "ปากโป้ง" สัมภาษณ์ คุณทนุธรรม จันโทกุล "กู้ภัยหน้าผี/กู้ภัยเทวดา")





26 พฤษภาคม 2556

สิ่งที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังท่าทีแข็งกร้าว ของผู้นำกองทัพที่ชื่อ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา


ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก ( ผบ.ทบ.) คือตำแหน่งผู้นำสูงสุดของกองทัพบก ซึ่งตั้งแต่ในอดีตมาจนถึงปัจจุบัน ผู้ที่ดำรงตำแหน่งดังกล่าวจะมีบทบาทสำคัญทั้งด้านการทหาร ด้านการรักษาความมั่นคงของประเทศ รวมถึงการพัฒนาประเทศในฐานะผู้นำเหล่าทัพที่มีกำลังพลในความควบคุม ซึ่งสามารถมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศในด้านต่างๆได้ไม่น้อย

แต่ในห้วงหลายปีที่ผ่านมา ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกได้เข้าไปมีบทบาทสำคัญทางการเมืองอีกด้านหนึ่ง ทำให้ผู้ที่รับตำแหน่งนี้หลายท่านกลายเป็นบุคคลที่ถูกจับตามองในวงการเมือง และมีภาพที่ถูกนำเสนอผ่านสื่อต่างๆมากขึ้น ทั้งในแง่บวกและลบ

หนึ่งในนั้นคือ พลเอกประยุทธ์  จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกท่านปัจจุบัน ซึ่งเข้ารับตำแหน่งมาตั้งแต่ 1 ต.ค.2553
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา :ไอดอลแมน

แต่ในวันนี้ บล็อก“ไอดอลแมน” มิได้หยิบยกเรื่องราวของท่านมานำเสนอในแง่มุมวิพากษ์วิจารณ์ทางการเมือง หากแต่เป็นมุมมองด้านการเป็นบุคคลตัวอย่าง โดยเฉพาะในความเป็นผู้นำและความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันว่า คุณลักษณะสองประการนี้ปรากฏอยู่ในตัวผู้นำสูงสุดของกองทัพบกท่านนี้อย่างเด่นชัด

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประวัติความเป็นมาโดยคร่าวๆของท่าน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือ “บิ๊กตู่” เกิดที่จังหวัดนครราชสีมา เมื่อวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ.2497 สำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาจากโรงเรียนวัดนวลนรดิศ เป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 12 ( ตท.12) นักเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า รุ่น 23

เส้นทางชีวิตราชการ “บิ๊กตู่” เริ่มต้นรับราชการที่หน่วย “ทหารเสือราชินี” ( กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ หรือ ร.21 รอ.) ตั้งแต่เป็นผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 2  กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ ( ผบ.ร.21 พัน.2 รอ.)  เป็นเสนาธิการกรมฯ รองผู้บังคับกรม และขึ้นเป็นผู้บังคับการกรมฯตามลำดับ ก่อนจะย้ายมาเป็นรองผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ ( พล.ร.2 รอ.) และเป็นผู้บัญชาการกองพลฯ  ต่อจากนั้นได้รับตำแหน่งเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 1 ในยุคที่ “บิ๊กป๊อก” พลโทอนุพงษ์ เผ่าจินดา ( ยศในขณะนั้น) เป็นแม่ทัพภาค และ “บิ๊กบัง” พลเอกสนธิ บุณยรัตนกลิน เป็นผู้บัญชาการทหารบก

ในเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่นำโดยบิ๊กบังนั้น “บิ๊กตู่”ซึ่งขณะนั้นมียศพลตรี เป็นนายทหารคนหนึ่งที่มีบทบาทในการยึดอำนาจจากอดีตนายกฯทักษิณ โดยรับคำสั่งตรงจาก “บิ๊กป๊อก” ซึ่งว่ากันว่าเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องที่สนิทกันมาก เมื่อ “บิ๊กป๊อก”ได้เลื่อนเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก “บิ๊กตู่” ก็ได้เลื่อนยศเป็น “พลโท” และครองตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 1 สืบต่อมา  รวมถึงการได้รับตำแหน่งสำคัญทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติในยุค คมช. , เป็นรองหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน , รองผู้อำนวยการกองอำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน   , เป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน ( ภายหลังจากได้รับตำแหน่ง ผบ.ทบ.แล้ว )  และเป็นหนึ่งในคณะดำเนินคดีศาลยุติธรรมระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา พ.ศ. 2554
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา17
พลเอกประยุทธ์  จันทร์โอชา ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารบกคนที่ 37 ต่อจากพลเอก อนุพงษ์  เผ่าจินดา ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2553 จนถึงปัจจุบัน

ด้านชีวิตครอบครัว พลเอกประยุทธ์ สมรสกับรองศาสตราจารย์นราพร จันทร์โอชา อาจารย์ประจำสถาบันภาษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีบุตรสาวฝาแฝดสองคนคือ น.ส.ธัญญา และ น.ส.นิฏฐา จันทร์โอชา

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
พล.อ.ประยุทธ์ มีภาพลักษณ์เด่นในเรื่องความมีภาวะผู้นำสูง โดยเฉพาะภายหลังรับตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก และมีภาพออกสื่อที่คุ้นตากันดีคือ ท่าทางที่ขึงขัง และน้ำเสียงที่หนักแน่น แข็งกร้าวเวลาให้สัมภาษณ์ โดยเฉพาะในประเด็นที่มีการพาดพิงถึงกองทัพหรือสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งแน่นอนว่าเป็นจุดที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ส่วนหนึ่งชื่นชมในความเข้มแข็ง เด็ดขาด บุคคลิกสมกับความเป็นผู้นำทหาร ในขณะที่อีกส่วนหนึ่งก็มองว่าเป็นท่าทีที่แข็งกร้าวเกินไป และหลายครั้งก็กลายเป็นภาพด้านลบที่เสมือนว่าท่านใส่อารมณ์รุนแรงในการตอบโต้กับสื่อมวลชน

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา2
แต่หากมองย้อนกลับไปตั้งแต่ก่อนที่ท่านจะมายืนอยู่จุดนี้ “บิ๊กตู่”ผู้นี้ได้ชื่อว่าเป็นนายทหารที่มีความสุขุมนุ่มลึกและการแสดงออกที่นุ่มนวลมาแต่ไหนแต่ไร ว่ากันว่า แต่ก่อนนั้น ท่านจะลงท้ายคำพูดของท่านว่า “นะจ๊ะ”อย่างติดปาก จนได้ฉายาว่า “ตู่นะจ๊ะ” และในช่วงที่ท่านเริ่มปรากฏตัวออกสื่อเป็นช่วงแรกๆในฐานะ “น้องรัก”ของ พลเอกอนุพงษ์ ผบ.ทบ.ในขณะนั้น สื่อหลายแขนงก็เอ่ยปากชมว่า ท่านเป็นนายทหารที่มีบุคคลิกอ่อนโยนกว่าพลเอกอนุพงษ์อย่างเห็นได้ชัด จนกลายเป็นเสียง ( แอบ) เชียร์ให้ท่านเป็นผู้รับตำแหน่งต่อจากพล.อ.อนุพงษ์ ซึ่งที่จริงท่านก็เป็นหนึ่งในแคนดิเดต ผบ.ทบ.อยู่แล้ว

จนเมื่อท่านได้รับตำแหน่ง ผบ.ทบ.ตามคาดหมายของใครหลายๆคน ท่าทีที่เปลี่ยนไปเป็นแข็งกร้าวขึ้น ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ทำนองว่า “บิ๊กตู่เปลี่ยนไป” แต่ในขณะเดียวกัน คนส่วนใหญ่จำนวนไม่น้อยก็เข้าใจ ว่านั่นคือการปรับตัวเพื่อแสดงภาวะผู้นำให้สมกับ “หัวโขน” ที่สวมอยู่ เนื่องด้วยท่านเข้ามารับตำแหน่งท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังคุกรุ่น มีการพาดพิงและดึงกองทัพเข้าไปพัวพัน มีการพยายาม “ดิสเครดิต” สถาบันทหาร แล้วยังจะสถานการณ์ความไม่สงบทางภาคใต้ที่ยังเรื้อรัง  ซึ่งปัญหาต่างๆเหล่านี้มีผลต่อความเชื่อมั่นของประชาชนต่อกองทัพ รวมไปถึงขวัญและกำลังใจของทหารเองด้วย ภาพของผู้นำกองทัพที่เข้มแข็งจึงมีความจำเป็นและสำคัญในการกอบกู้สถานการณ์ดังกล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ เองก็เคยยอมรับว่า การแสดงที่แข็งกร้าวจนหลายฝ่ายมองว่าเป็นเหมือนการกร้าวร้าวนั้น จริงๆแล้วก็เพียงแค่การแสดงภาวะผู้นำ แต่โดยเนื้อแท้ของท่านแล้วไม่ได้มีความคิดเป็นปฏิปักษ์หรือแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกับกลุ่มการเมืองใดๆทั้งสิ้น ท่านพร้อมที่จะร่วมงานกับทุกฝ่าย เพื่อสร้างประโยชน์แก่ประชาชนและส่วนรวมให้มากที่สุด

และเมื่อมองด้วยใจเป็นกลางและให้ความเป็นธรรมแก่ท่าน จะพบว่า นับตั้งแต่ท่านเข้ามารับตำแหน่ง กองทัพบกภายใต้การบัญชาการของท่านได้ถูกขับเคลื่อนให้เข้าไปมีบทบาทในการพัฒนาประเทศและช่วยเหลือประชาชนจนเป็นที่กล่าวขวัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เห็นเด่นชัด คือ ในสถานการณ์มหาวิกฤตอุทกภัยครั้งใหญ่ปี 2554 ที่กองทัพบกส่งกำลังพลและยุทโธปกรณ์ออกช่วยเหลือประชาชนที่ประสบความเดือดร้อน ทั้งการช่วยลำเลียงผู้คนและทรัพย์สินออกจากพื้นที่ประสบภัย การแจกถุงยังชีพ การสนับสนุนยานยนต์ขนส่งในการเดินทาง จนกระทั่งช่วยฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัยภายหลังน้ำลด ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ยกนิ้วว่า ทหารคือ “ฮีโร่”ของพวกเขาเลยทีเดียว

นอกจากนั้น ในฐานะผู้นำสูงสุดของเหล่าทัพ พล.อ.ประยุทธ์ยังมีบทบาทสำคัญในการนำกองทัพประกาศสงครามกับยาเสพติด และเดินหน้าแก้ไขสถานการณ์ความไม่สงบภายในประเทศ ซึ่งเมื่อแม่ทัพใหญ่เป็นตัวตั้งตัวตีในการเดินเกมรุกเช่นนั้น บรรดาทหารตั้งแต่แม่ทัพนายกองลงไปต่างก็มีขวัญและกำลังใจในการสนองตอบต่อนโยบายของผู้นำ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อความสงบสุขร่มเย็นของปวงประชา

ในด้านการบำรุงขวัญและกำลังใจของกำลังพลในกองทัพ ก็เป็นที่ยอมรับกันว่า ผู้บัญชาการทหารบกท่านนี้เป็นผู้ที่ให้ความสำคัญกับสวัสดิการและดูแลความเป็นอยู่ของกำลังพลและครอบครัว รวมทั้งสนับสนุนกิจกรรมและการดำเนินการต่างๆอย่างเต็มที่

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา9
ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้คือ การสนับสนุนด้านกีฬา แก่สโมสรฟุตบอล อาร์มี่ ยูไนเต็ด ( ทีมทหารบกเดิม) ด้วยการเป็น ผบ.ทบ.ท่านแรกที่เข้ารับตำแหน่งประธานสโมสรฯด้วยตนเอง ( จากแต่เดิมที่เจ้ากรมสวัสดิการทหารบกจะเป็นผู้ดำรงตำแหน่งนี้) ซึ่งก็ไม่ได้ดำรงตำแหน่งแค่ในนาม ทว่า “บิ๊กตู่” ยังลงไปดูแลทีมอย่างใกล้ชิด ด้วยการติดตามชมและเชียร์การแข่งขันแทบทุกนัด และสนับสนุนการปฏิรูปทีมใหม่ จนวันนี้ “อาร์มี่ ยูไนเต็ด” กลายเป็นหนึ่งในสโมสรฟุตบอลไทยที่แข็งแกร่งและเป็นที่จับตามองของคู่แข่งขัน

อีกภาพลักษณ์หนึ่งที่โดดเด่นของ พล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา คือความเป็นนายทหารที่มีความจงรักภักดีต่อสถาบันหลักของชาติเป็นอย่างสูง จะเห็นได้จากการออกมาตอบโต้บุคคลผู้แสดงออกในลักษณะพาดพิงสถาบันอย่างรุนแรงและเด็ดขาดในหลายๆครั้ง อย่างล่าสุดก็กรณีที่รายการโทรทัศน์ “ตอบโจทย์ประเทศไทย ตอน สถาบันพระมหากษัตริย์ ” ทางสถานีโทรทัศน์ ทีวีไทย ( ThaiPBS) นำเสนอมุมมองของนักวิชาการในลักษณะพาดพิงสถาบันพระมหากษัตริย์ เมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ ได้ออกมาตอบโต้อย่างหนักหน่วง ถึงกับเอ่ยปากไล่ตะเพิดว่า หากใครที่อึดอัดใจหรือไม่มีความสุขกับการอยู่ในระบอบการปกครองที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ก็ให้ออกไปจากประเทศ เพราะประเทศไทยของเราที่อยู่รอดปลอดภัยและสงบสุขร่มเย็นตั้งแต่อดีตมาถึงปัจจุบัน ก็ด้วยพระบารมีแห่งองค์พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ นับเป็นปรากกฏการณ์ที่สร้างความฮือฮาอย่างมาก ที่บุคคลระดับผู้นำกองทัพออกโรงตอบโต้ด้วยตนเอง
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา21
จากภาพลักษณ์ดังกล่าว แม้จะถูกวิจารณ์จากคนบางกลุ่มในทำนองว่า เป็นผู้ผูกขาดความจงรักภักดี หรือแสดงออกในลักษณะสุดโต่งจนเกินไป แต่นั่นก็คือภาพต้นแบบสำคัญที่ปลุกกระแสความจงรักภักดี ไม่เฉพาะแค่ในหมู่ทหาร หากแต่ยังขยายวงกว้างออกไปยังประชาชนทั่วไป ซึ่งล้วนแต่มีความรักและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อได้รับแรงกระตุ้นและหนุนนำจากการแสดงออกของผู้นำกองทัพ จึงกลายเป็นหนึ่งในพลังเครือข่ายปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์จากการมุ่งโจมตีของกลุ่มผู้ไม่หวังดี ดังที่เห็นปรากฏอยู่ในทุกวันนี้

จากคุณลักษณะที่โดดเด่นที่ยกตัวอย่างมานี้ เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา ได้รับการโหวตให้เป็นสุดยอด ซีอีโอ CEO ของภาคราชการและเจ้าหน้าที่รัฐแห่งปี 2554 ในความทรงจำและขวัญใจของตัวแทนกลุ่มธุรกิจ SME ใน 5 อันดับแรกหรือ ท็อปไฟว์ โดยได้รับคะแนนนำเป็นอันดับที่หนึ่ง ร้อยละ 59.1 ด้วยความเป็นสุดยอดของความเป็นผู้นำ กล้าคิดกล้าตัดสินใจ สมาร์ท สมกับเป็นชายชาติทหาร ฟื้นฟูศรัทธาของประชาชนต่อกองทัพ ทำให้กองทัพเป็นกองทัพของประชาชน รวดเร็วฉับไวไม่ทอดทิ้งประชาชน เป็นต้น

และก็เป็นเหตุผลสำคัญที่บล็อก “ไอดอลแมน” นำเอาเรื่องราวของท่านมาถ่ายทอดในฐานะบุคคลต้นแบบอีกคนหนึ่งของสังคมไทย
 

19 พฤษภาคม 2556

ฉีกซอง (ประวัติ) “เถ้าแก่น้อย” สัมผัสรสชาติ ( ชีวิต) แบบเต็มคำ! (ตอนจบ)

( ต่อจาก ตอนที่แล้ว )
หลังจากตกปากรับคำว่า จะผลิตสาหร่ายทอดป้อนเข้าสู่ร้าน 7 –11 กว่า 3,000 สาขาภายในเวลา 3 เดือน ก็ต้องเรียกว่า “งานช้าง” สำหรับ “เถ้าแก่น้อย” ต๊อบ - อิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วนิชย์ เลยทีเดียว เพราะการจะทำให้สำเร็จตามนั้นได้ ต้องมีทั้งโรงงาน วัตถุดิบ เงินทุน เครื่องจักร รวมไปถึงแรงงานอย่างเพียงพอ แต่ ณ เวลานั้นเขายังไม่มีสักอย่าง!!!

เถ้าแก่น้อย
นักหนุ่มวัยยี่สิบปีผู้ใฝ่ฝันจะเป็นนักธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ ยื่นเรื่องขอกู้เงินจากธนาคารเพื่อมาลงทุน แต่ไม่ได้รับการอนุมัติ ด้วยเหตุผลเพียงว่า ผู้ยื่นแผนธุรกิจขอกู้เงิน คือต๊อบนั้นมีอายุเพียง 20 ปี!! โดยทางธนาคารแทบจะไม่ได้มองถึงแผนธุรกิจที่เขายื่นเลยด้วยซ้ำ เมื่อเป็นเช่นนั้น ต๊อบจึงตัดสินใจเสี่ยงวัดดวงอีกครั้ง ด้วยการตัดใจขายเฟรนไชน์ธุรกิจเกาลัดทั้ง 30 สาขาของเขา ซึ่งต๊อบบอกว่า เป็นเรื่องที่ทำใจลำบากมากสำหรับความรู้สึกของคนที่สร้างธุรกิจขึ้นมากับมือแล้วต้องปล่อยให้หลุดมือไป

“…..เหมือนกับเรามีรถดีๆ สักคันขับอยู่แล้ว แต่กำลังอยากได้รถคันใหม่ แต่ไม่รู้หรอกว่า รถคันใหม่จะดีหรือเปล่า และช่วงที่ขายรถคันเก่าออกไป ต้องยอมนั่งรถเมล์ไปก่อน….” เจ้าของแบรนด์ “เถ้าแก่น้อย” กล่าวถึงความรู้สึกในช่วงนั้น

แต่ถึงจะเสี่ยงอย่างไร แต่เมื่อเดิมพันคือความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม ต๊อบจึงยอมเสี่ยง ขายเฟรนไชน์เกาลัดได้เงินหลักล้าน นำมาทุ่มสร้างโรงงานผลิตสาหร่ายทอดอย่างเร่งด่วน ซึ่งที่จริงน่าจะเรียกว่าเป็นตึกแถวที่แปลงเป็นโรงงานมากกว่า ซึ่งผ่านการประเมินคุณภาพมาตรฐานการผลิตของ 7-11 มาอย่างฉิวเฉียด คือ 55% ( เกณฑ์ผ่าน 50 %) แต่ก็ถือว่าเป็นการเดินหน้าด้วยความมุ่งมั่นของต๊อบ และการส่งเสริมสนับสนุนของคนในครอบครัว (รวมไปถึงคนข้างบ้าน! ) กับคนงานอีก 6-7 คน ที่มาร่วมด้วยช่วยกันอดตาหลับขับตานอน เร่งผลิตสาหร่ายทอดให้ทันเวลาและเพียงพอตามจำนวนที่ต้องการ


เถ้าแก่น้อย
คุณต๊อบเล่าว่า ทุกคนทำงานกันอย่างหามรุ่งหามค่ำ เพื่อจะให้เสร็จทันเวลา แต่ถึงกระนั้นก็ยังเกือบไม่ทัน เพราะในวันกำหนดนัดส่งสินค้า สินค้าทั้งวหมดพร้อมส่งในเวลาหกโมงเช้าวันนั้นพอดี ต๊อบรีบขับรถบรรทุกสาหร่ายไปส่งที่คลังสินค้าของ 7-11 แต่ก็สายกว่าเวลานัดประมาณครึ่งชั่วโมง แต่เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบในการรับสินค้าเห็นใจในสภาพที่ซูบโทรมจากการโหมงานหนักของต๊อบ จึงได้รับสินค้าไว้ และกระจายสินค้าวางจำหน่ายในรอบนั้น โดยที่ไม่ต้องรอรอบต่อไป

ผลลัพธ์จากความตั้งใจและมุ่งมั่นของต๊อบตอบแทนกลับมาอย่างน่าชื่นใจ เมื่อสาหร่ายทอด “เถ้าแก่น้อย” ได้รับการตอบรับจากตลาด และมียอดขายเจริญเติบโตขึ้นอย่างน่าพอใจ ใช้เวลาไม่นานก็กลายเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมและติดปากผู้บริโภค ยิ่งเมื่อต๊อบเดินหน้าทำการตลาดเชิงรุก เร่งสร้างภาพลักษณ์ของสินค้าให้เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ชนิดที่ว่า เอ่ยถึง “เถ้าแก่น้อย” ต้องนึกถึง สาหร่ายทอด อะไรประมาณนั้นด้วยแล้ว ภาพแห่งความสำเร็จของแบรนด์ “เถ้าแก่น้อย” ก็ยิ่งปรากฏชัดขึ้น ซึ่งนั่นก็ส่งผลให้ผู้สร้างผลิตภัณฑ์ภายใตแบรนด์นี้ขึ้นมา กลายเป็น “เถ้าแก่น้อย” เศรษฐีพันล้านตั้งแต่อายุเพียง 23 ปี
เถ้าแก่น้อย
ปัจจุบัน สินค้าภายใต้เครื่องหมายการค้า “เถ้าแก่น้อย” ยังคงพัฒนาและขยายตลาดอย่างต่อเนื่อง นอกจากตลาดภายในประเทศแล้ว ยังขยับขยายไปสู่ตลาดต่างประเทศ ทั้ง สิงคโปร์ ฮ่องกง ไต้หวั่น อินโดนีเซีย เป็นต้น ซึ่งการดำเนินการทั้งหมด อยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของนักธุรกิจหนุ่มวัย 29 ปีที่ชื่อ อิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วนิชย์
เถ้าแก่น้อย
และทั้งหมดนี้ก็คือ เรื่องราวตัวอย่างความสำเร็จของคนๆหนึ่ง ที่ผมเชื่อว่าสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้คนอีกจำนวนไม่น้อย

18 พฤษภาคม 2556

ฉีกซอง ( ประวัติ) “เถ้าแก่น้อย” สัมผัสรสชาติ ( ชีวิต) แบบเต็มคำ! (ตอนที่ 2)

( ต่อจาก ตอนที่แล้ว)
ตอนที่เริ่มทำธุรกิจขายเกาลัดนั้น ต๊อบ -อิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วนิชย์ ยังมีสถานภาพเป็นนักศึกษาปีหนึ่ง คณะบริหารธุรกิจ สาขาบริหารการตลาด มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยอยู่ แต่ดูเหมือนว่า การเรียนรู้จากชีวิตจริงนอกห้องเรียนจะดึงดูดความสนใจของเขาได้มากกว่า
เถ้าแก่น้อย

ธุรกิจขายเกาลัดในห้างสรรพสินค้าสองแห่ง คือ เดอะมอลล์รามคำแหง และบิ๊กซีบางใหญ่ มียอดขายต่ำมากจนต๊อบคิดว่าคงต้องปิดกิจการ แต่แล้วก็เหมือนมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ เมื่อพนักงานห้างสรรพสินค้าเทสโก้โลตัสคนหนึ่งโทรติดต่อให้เขาไปขายเกาลัดในงานเทศกาลกินเจ ที่โลตัสสาขาแจ้งวัฒนะ ซึ่งจัดงานเป็นเวลา 14 วัน ต๊อบจึงตัดสินใจที่ลองดูอีกครั้ง ด้วยการย้ายเครื่องคั่วเกาลัดทั้งสองเครื่องจากสองห้างที่ตั้งขายเดิม ไปลงที่งานเทศกาลกินเจ โดยจุดที่ตั้งจำหน่าย คือบริเวณทางออกของเคาน์เตอร์ ( Check out counter) ผลปรากฏว่าสถานการณ์ตรงข้าม คือ ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ทำให้ต๊อบได้บทเรียนใหม่ว่า ปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนการขาย คือ กลุ่มเป้าหมาย และ ทำเล

ต๊อบแจ้งพนักงานที่ติดต่อเขาว่า ถ้ามีงานก็ให้ติดต่อเขามาได้อีก ก่อนที่เขาจะกลับมาเปลี่ยนกลยุทธ์ในการขาย ด้วยการลดต้นทุน โดยยกเลิกการเช่าเครื่องคั่วเกาลัด (ที่เช่าจากจากบริษัทญี่ปุ่น ในราคาเดือนละ 50,00 บาท ) แล้วไปซื้อเครื่องคั่วเกาลัดที่กล้วยน้ำไท ตามที่คุณพ่อเคยแนะนำว่าราคาถูกกว่ากันมาก เป็นการลดต้นทุนการผลิตได้อย่างมาก ส่งผลให้สามารถขยายกิจการจาก 2 สาขา เป็น 30 สาขา ทำรายได้เดือนละกว่าสองล้านบาท


เถ้าแก่น้อย
ช่วงนี้เองที่ต๊อบตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัยมาทำธุรกิจอย่างเต็มตัว ด้วยเหตุผลสามประการคือ หนึ่ง ฐานะของทางบ้านเข้าขั้นวิกฤต บ้านถูกยึดแล้ว เขาถึงตัดสินใจเผชิญกับปัญหา ด้วยการลาออกมาทำธุรกิจขายเกาลัดเต็มตัว สอง ความที่เป็นคนรู้จักตัวตนตั้งแต่เด็ก ทำให้เขารู้ว่าตัวเองรักในการทำธุรกิจ เรียนหนังสือไปเรียนตอนไหนก็ได้ และสาม เขาเป็นคนรักแม่มาก กลัวแม่ลำบาก

แต่ดูเหมือนโชคชะตายังคงสนุกกับการกลั่นแกล้งเด็กหนุ่มผู้นี้ เพราะในเวลาต่อมา มีการเปลี่ยนผู้บริหารของเทสโก้โลตัส ผู้บริหารท่านใหม่เป็นชาวต่างชาติ ต้องการให้ร้านเกาลัดของต๊อบย้ายทำเล เนื่องจากควันจากการคั่วทำให้ผนังเพดานของห้างเปลี่ยนสี แล้วผู้บริหารยังอ้างว่ายังมีกลิ่นรบกวนด้วย  ถ้าคุณเคยดูหนัง “วัยรุ่นพันล้าน” คงจำฉากในหนังช่วงนี้ได้ว่า ต๊อบพยายามต่อรองขออยู่ที่เก่าซึ่งเป็นทำเลทอง ซึ่งต้องแลกกับการทาสีเพดานใหม่ ติดตั้งเครื่องระบายควัน แม้กระทั่งยอมงดการคั่วเกาลัดสด ซึ่งส่งผลให้ยอดขายตกจนน่าใจหาย

แค่ด้วยหัวใจนักสู้ ต๊อบไม่ยอมท้อถอย วันหนึ่งเขาเดินไปดูร้านไอศครีม “เดลี่ควีน” เห็นมีไส้กรอกวางขายด้วยนอกจากไอศครีม ทำให้เกิดแนวคิดว่า น่าจะหาสินค้าอื่นมาวางขายด้วย จึงเริ่มจากลูกพลับจีนตากแห้ง  ซึ่งช่วยกระตุ้นยอดขายขึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังไม่มากพอที่จะชดเชยยอดขายเกาลัดที่ตกไป


เถ้าแก่น้อยวันหนึ่งต๊อบไปรับแฟนตามปกติ และสังเกตเห็นแฟนกินขนมอย่างหนึ่งเมื่อขึ้นมานั่งบนรถ จึงขอลองชิมดูบ้าง และทราบว่ามันคือ สาหร่ายทอดรสชาติอร่อยที่แฟนซื้อมา เขาจึงขอไปฝากคนที่บ้านหนึ่งห่อ ปรากฏว่าทุกคนที่บ้านต่างก็ชอบรสชาติของมัน และฝากแฟนของต๊อบซื้อเป็นจำนวนมาก จนถูกบ่นว่าเป็นภาระของเธอ แต่ตัวต๊อบเองกลับมองเห็นเป็นช่องทางธุรกิจ ที่จะนำสาหร่ายทอดมาวางขายควบคู่กับเกาลัด

และก็ได้ผลดีเกินขาด ยอดขายสาหร่ายทอดสูงกว่ายอดขายเกาลัดเสียอีก ถึงขนาดว่าพนักงานขายต้องเก็บไว้ให้ลูกค้าเจ้าประจำ โดยไม่นำมาโชว์เหมือนเคย และต๊อบเองก็สังเกตว่า ลูกค้าที่ติดใจรสชาติสาหร่ายทอดนั้นมีทุกเพศทุกวัย จึงเกิดความคิดที่จะขยายพื้นที่วางจำหน่ายสาหร่ายทอด

เยาวราชคือพื้นที่แรกของปฏิบัติการขยายตลาดสาหร่ายทอดของต๊อบ ทว่าผลตอบรับกลับไม่เป็นดังคาด ด้วยความที่เป็นสินค้าอายุสั้น เก็บได้ไม่นาน ประกอบกับรูปลักษณ์ไม่โดดเด่น ทำให้สินค้าไม่ได้รับความสนใจ

ต๊อบจึงเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่ เผอิญได้แนวคิดจากการให้สัมภาษณ์ของนักธุรกิจท่านหนึ่งทางทีวี ที่พูดถึงกลยุทธ์การทำธุรกิจแบบป่าล้อมเมือง และเมื่อเขาออกไปข้างนอก เห็นร้าน 7-11 มีอยู่ทั่ว จึงตีความเอาว่า ร้าน 7-11 คือป่าที่ล้อมเมืองอยู่ ถ้าสามารถนำสินค้าวางขายในร้านสะดวกซื้อดังกล่าวได้ โอกาสที่จะประสบความสำเร็จก็มีสูง

แม้จะเป็นการตีความที่ไม่ตรงตามหลักการ ทว่าก็เป็นผลดีต่อธุรกิจของเขาในอนาคต แม้จะต้องลำบากลำบนกันในช่วงแรกก็ตาม

เริ่มจากการที่ต๊อบนำสาหร่ายทอดของเขาบรรจุใส่ถุงพลาสติกธรรมดาไปนำเสนอกับสำนักงานใหญ่ของ 7 –11 โดยฝากไว้กับฝ่ายคัดสรรสินค้า แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีการตอบรับกลับมา จนต๊อบต้องเป็นฝ่ายสอบถามเข้าไปเอง จึงได้รับคำตอบว่า สินค้าของเขาหมดอายุเร็ว รูปลักษณ์บรรจุภัณฑ์ไม่สวยงาม และราคาสูงเกินกว่าจะได้รับการคัดสรรให้วางจำหน่ายใน 7 –11

แม้จะเป็นคำตอบที่ทำให้ผิดหวัง แต่ต๊อบก็ไม่ยอมแพ้ เขากลับมาปรับปรุงสาหร่ายของเขาใหม่ทั้งหมด เริ่มจากการขอข้อมูลเกี่ยวกับการถนอมอาหารเพื่อรักษาสาหร่ายทอดไม่ให้หมดอายุเร็วจากอาจารย์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และมีการสร้างโลโก้ของสินค้า โดยดึงเอากระแสเกาหลี ญี่ปุ่นมาเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบ จนได้โลโก้เป็นรูปเด็กยิ้มที่ดูน่ารักและมีความสุข พร้อมกับถือธงเป็นสัญลักษณ์ว่า ถึงแม้จะเป็นของกินเล่น แต่ก็ให้คุณค่าทางอาหารสูง


เถ้าแก่น้อย
เมื่อปรับรูปโฉมสินค้าแล้ว ต๊อบก็กลับไปนำเสนอที่ 7 –11 อีกครั้ง แต่ก็ยังไม่ได้รับความสนใจเหมือนเดิม เพราะแม้แต่คนที่นัดให้เขานำสินค้ามาเสนอ เมื่อถึงเวลานัดก็ยังไม่มา ต๊อบจึงตัดสินใจฝากสินค้านั้นไว้อีกครั้ง ก่อนจะกลับบ้านด้วยความหวังที่เหลือน้อยเต็มที

แต่แล้วโชคชะตาก็คงจะเห็นใจและเข้าข้างความมานะพยายามของเด็กหนุ่ม เมื่อตัวแทนจาก 7-11 ติดต่อกลับมาว่า สินค้าที่เขาฝากไว้นั้นได้ถูกแกะให้ผู้ใหญ่ของ 7-11 ลองชิมดูแล้ว เป็นที่พอใจ จึงสอบถามเขาว่า พร้อมที่จะผลิตสินค้า คือ สาหร่ายทอด นั้นเพื่อวางขายในร้าน 7-11 จำนวน 3,000 สาขาทั่วประเทศภายในเวลา 3 เดือนหรือไม่

แม้จะไม่แน่ใจนัก แต่เมื่อโอกาสมาเคาะประตูเรียกแล้ว ต๊อบจึงรีบตอบรับทันที ก่อนจะมานั่งกุมขมับคิดหาหนทางผลิตสาหร่ายทอดให้เพียงพอและทันเวลาตามที่ 7-11 กำหนด
( ติดตามอ่าน ตอนต่อไป)

17 พฤษภาคม 2556

ฉีกซอง(ประวัติ) “เถ้าแก่น้อย” สัมผัสรสชาติ( ชีวิต)แบบเต็มคำ!

คงมีคุณผู้อ่านจำนวนไม่น้อยที่เคยได้ลิ้มลองและติดใจรสชาติของผลิตภัณฑ์จากสาหร่ายภายใต้เครื่องหมายการค้า “เถ้าแก่น้อย” และหลายท่านก็คงจะรู้จักชายหนุ่มนักธุรกิจไฟแรงเจ้าของแบรนด์ดังกล่าว ทั้งจากข้อมูลที่หาไม่ยากตามอินเตอร์เน็ต สื่อสิ่งพิมพ์ หรือแม้แต่วงการบันเทิงก็ยังมีการนำเอาเรื่องราวชีวิตของเขาไปสร้างเป็นภาพยนต์ “วัยรุ่นพันล้าน” ที่ฉายไปเมื่อสองปีก่อน
เถ้าแก่น้อย6    เถ้าแก่น้อย11
แต่สำหรับบางท่านที่ยังไม่รู้จัก หรือแค่เคยได้ยินเรื่องราวมาบ้างอย่างไม่ละเอียดนักก็ไม่เป็นไรนะครับ เพราะบล็อก “ไอดอลแมน” วันนี้เป็นคิวของ “เถ้าแก่น้อย”ที่จะมาทำหน้าที่เป็นแรงบันดาลใจให้คุณผู้อ่าน ด้วยเรื่องราวชีวิตบนเส้นทางธุรกิจที่สามารถพลิกชีวิตของเด็กหนุ่มคนหนึ่งให้กลายเป็นเศรษฐีพันล้านได้ภายในเวลาเพียงสามปี!!!!!

เถ้าแก่น้อย12
นั่นแหล่ะคือเขาหล่ะ….ต๊อบ อิทธิพัทธ์  กุลพงษ์วนิชย์ เจ้าของแบรนด์และสมญานาม “เถ้าแก่น้อย”

คุณต๊อบ-อิทธิพัทธ์ ( หรือชื่อเดิมคือ ต่อพงศ์) เกิดเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2527 เป็นลูกชายสุดที่รักของคุณวรเศรษฐ์ กุลพงษ์วนิชย์ นักธุรกิจรับเหมา ซึ่งเป็นผู้มีส่วนผลักดันให้ลูกชายคนนี้กลายเป็น “เถ้าแก่น้อย”ในเวลาต่อมา

เมื่อดูจากเรื่องราวชีวิตวัยรุ่นวัยเรียนของคุณต๊อบแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะประสบความสำเร็จได้มากมายขนาดนี้ เพราะเรื่องเรียนของเขาไม่ได้ดีเด่นอะไรนัก เมื่อจบประถมจากโรงเรียนปานะพันธ์วิทยา เข้าเรียนต่อ ม.ต้นที่โรงเรียนเซนต์ฟรังซีสเซเวียร์ เมืองทองธานี จบมาด้วยเกรดต่ำจนไม่อาจเข้าเรียนที่เดิมได้  ทั้งๆที่คุณพ่อคุณแม่พยายามเต็มที่ที่จะให้ลูกได้เรียนต่อ ถึงกับยอมทุ่มเงินหลักแสน ทำให้คุณต๊อบรู้สึกสะท้อนใจ ด้วยความสงสารไม่อยากให้ท่านทั้งสองต้องสูญเสียเงินมากมายขนาดนั้นจึงตัดสินใจบอกว่าจะขอย้ายมาเรียน ม.ปลายสายศิลป์- ทั้วไปที่โรงเรียนสวนกุหลาบ นนทบุรี ซึ่งพี่สาวของเขาเคยเรียนอยู่

เมื่อมาเรียนที่สวนกุหลาบฯ ผลการเรียนของต๊อบก็ไม่ได้ดีขึ้น เจ้าตัวสารภาพเองว่า เพราะเขาติดเกมออนไลน์อย่างหนัก แต่การติดเกมออนไลน์ก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตเด็กหนุ่มคนนี้ตกต่ำไปเสียทีเดียว เพราะดูเหมือนว่าเขาจะมีพรสวรรค์ในการเล่นเกมจนได้คะแนนสะสมสูง จนเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในวงการเกมออนไลน์ โดยเฉพาะเกม Everquest ซึ่งเล่นมาตั้งแต่ ม.4  และได้ชื่อว่าเป็นผู้สะสมแต้มที่รวยที่สุดในเซิร์ฟเวอร์ แถมยังสะสมไอเท็มเด็ดๆและของสะสมหายากจากเกมไว้ได้มากมาย ถึงขนาดที่เอาออกขายหารายได้สูงงสุดหลักแสนบาทต่อเดือนเลยทีเดียว


EverQuestเกี่ยวกับการเล่นเกม Everquest จนเป็นจุดเริ่มต้นการทำรายได้หลักแสนบาทนี้ มาจากการที่พี่ชายของต๊อบคือ ณัชชัชพงศ์ กุลพงษ์วณิชย์ ได้อ่านเจอเรื่องราวจากในหนังสือว่า มีคนอเมริกันขายของในเกมนี้จนร่ำรวย ต๊อบจึงลองหามาเล่นดูบ้าง แม้จะมีอุปสรรคเรื่องภาษาที่ใช้ในเกม เขาก็ยังอุตส่าห์เอา Dictionary มานั่งเปิดแปลไปด้วยในระหว่างเล่น เมื่อเล่นไปจนได้แต้มและของสะสมในเกมจำนวนหนึ่ง วันหนึ่งก็มีเพื่อน ( ในเกม) ชาวสิงค์โปร์มาขอดูแต้มและของสะสม ก่อนจะแนะนำว่า ของสะสมบางอย่างของเขาหายากและเป็นที่ต้องการในตลาดเกม จึงรับอาสาเป็นนายหน้าเอาไปขายให้ ต่อมาต๊อบก็เป็นผู้ขายเอง รายได้จากการขายนี้ทำให้เขาดาวน์รถฮอนด้า ซิตี้ได้คันหนึ่งเลยทีเดียว

ด้วยความที่ต๊อบทุ่มเทชีวิตและจิตใจให้เกมเกือบหมด เรื่องเรียนจึงผ่านมาอย่างทุลักทุเล เรียนจบ ม.6 เขาสอบเอนทรานซ์ไม่ติด เป็นเหตุให้พ่อแม่ต้องทะเลาะกัน แต่เขาก็รับผิดชอบตัวเองด้วยการสอบเข้าเรียน ม.เอกชน คือ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย คณะบริหารธุรกิจ สาขาบริหารการตลาด
ในปีที่ต๊อบเจ้าเรียนมหาวิทยาลัยนั้น ตรงกับช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ “ต้มยำกุ้ง” ( พ.ศ.2540) ซึ่งส่งผลกระทบต่อฐานะทางครอบครัว ยิ่งเมื่อธุรกิจรับเหมาของคุณพ่อถูกโกง ทำให้ไม่สามารถดำเนินโครงการก่อสร้างมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งได้สำเร็จตามสัญญา ถูกปรับวันละ 80,000 บาท รวมเป็นเงินกว่า 30 ล้าน ต๊อบจึงต้องพยายามหารายได้ช่วยเหลือตัวเองและทางบ้าน ทว่ากิจการขายของจากเกมออนไลน์เริ่มซบเซา เนื่องจากความนิยมเกมออนไลน์ลดลง ต๊อบจึงหันมาจับธุรกิจอื่น เริ่มจากการขายเครื่องเล่นดีวีดีจีนแดง เพราะเห็นว่าต้นทุนราคาถูก ( แค่เครื่องละ 800) และสามารถขายได้เรื่อยๆ

แต่แล้วธุรกิจดังกล่าวกลับทำให้เด็กหนุ่มวัย 18 ปีพบกับความล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า!!

ก็อย่างที่ทราบกันแหล่ะนะครับว่า สินค้าจีนแดงนั้นคุณภาพต่ำพอกับราคา เมื่อต๊อบซื้อดีวีดีจีนแดงมาขายต่อ ลูกค้าซื้อไปใช้ไม่นานก็พัง จนต๊อบต้องตระเวนไปรับคืนพร้อมคำต่อว่าจากลูกค้า หนักเขาถึงขั้นจะฟ้องร้องกันเลยทีเดียว ผมยังจำฉากในหนัง “วัยรุ่นพันล้าน”ที่จำลองเหตุการณ์ช่วงนี้ได้ ต๊อบรับสินค้าคืน แล้วจะกลับไปโวยกับพ่อค้าขายส่ง และกลับถูกตอกหน้ากลับมาว่า เป็นความ “โง่” ของเขาเอง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงสังคมธุรกิจไม่ว่าระดับใด โอกาสที่จะก้าวพลาดมีสูงถ้ารู้ไม่เท่าทัน

แต่ถึงจะล้มเหลวในการขายเครื่องเล่นดีวีดี แต่ต๊อบก็ไม่ย่อท้อที่จะมองหาลู่ทางในการทำธุรกิจอื่นต่อไป

วันหนึ่งระหว่างนั่งรับประทานอาหารกับคุณพ่อ ต๊อบได้ขอคำแนะนำในการหาลู่ทางธุรกิจ และได้แนวคิดจากท่านว่า ธุรกิจอาหารน่าสนใจ ในเวลาต่อมาเขาได้ไปเดินดูงาน เวิลด์ ฟู้ด เอ็กซิบิชั่น ที่จัดนิทรรศการด้านธุรกิจอาหารที่เมืองทองธานี  และสะดุดใจกับเครื่องคั่วเกาลัดอัตโนมัติจากญี่ปุ่นที่นำมาแสดงในงาน ประกายความคิดในการทำธุรกิจขายเกาลัดบังเกิดขึ้น เขาอยากได้เครื่องคั่วเกาลัด แต่ติดขัดที่มันมีราคาสูงเนื่องจากเป็นสินค้าลิขสิทธิ์ แม้จะต่อรองราคาอย่างไรทางผู้ขายก็ไม่อาจตกลงได้ แต่เมื่อเห็นลูกตื้อของต๊อบที่เทียวมาทุกวัน ทางผู้ขายจึงยื่นข้อเสนอให้ต๊อบซื้อแบบผ่อนชำระได้เดือนละ 50,000 บาท ต๊อบตกลงทันที แม้ว่าเมื่อเช่าเครื่องมาไว้ที่บ้านแล้วจะถูกพ่อทักท้วงว่าสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ เพราะเครื่องคั่วเกาลัดที่วางขายที่กล้วยน้ำไทราคาแค่ 3 – 4 หมื่นบาทเท่านั้น แต่ต๊อบก็ยังคงยืนยันเดินหน้าลุยธุรกิจขายเกาลัดตามที่ตั้งใจไว้


เถ้าแก่น้อย9
ด้วยความที่ยังขาดประสบการณ์ ต๊อบจึงอาศัยวิชาครูพักลักจำ ไปเดินสำรวจวิธีการและเทคนิคในการคั่วเกาลัดของบรรดาพ่อค้าแม่ค้าย่านเยาวราช ได้วิชามาพอตัว จึงเริ่มธุรกิจ โดยขอเช่าสถานที่ขาย ที่ห้างสรรพสินค้า เดอะมอลล์ รามคำแหง ( และต่อมาก็ขยายไปที่บิ๊กซี บางใหญ่)

ในระหว่างที่ต๊อบกำลังเตรียมตัวจะออกไปเริ่มต้นธุรกิจคั่วเกาลัดนั้น ได้ยินเสียงพ่อกระเซ้าว่า ลูกชายของพ่อกำลังจะเป็นเถ้าแก่น้อยแล้ว เขาจึงจดจำคำพูดประโยคนั้น มาเป็นที่มาของการตั้งชื่อแบรนด์สินค้า เกาลัดตรา “เถ้าแก่น้อย”
( ติดตาม ตอนต่อไป)

12 พฤษภาคม 2556

“ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา” อัจฉริยะผู้หยั่งรู้จากภายใน ตอนที่ ๒


หลังจากเดินทางกลับมาประเทศไทยภายหลังเสร็จสิ้นภารกิจร่วมคิดค้นระบบการลงจอดบนพื้นผิวดาวอังคารของยานอวกาศกับองค์การนาซ่า ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ยังคงเดินหน้าเรียนรู้การใช้ชีวิตเพื่อสังคมในบทบาทต่างๆ

เริ่มต้นตั้งแต่การเป็นอาจารย์สอนที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยา โดยอาศัยความรู้และประสบการณ์ทั้งจากที่มีอยู่เดิม และจากการไปร่วมงานกับองค์การนาซ่า

หลังจากเป็นอาจารย์ได้ประมาณ 7 ปี ดร.อาจอง ก็เกิดความคิดว่า อยากขยายขอบเขตประสบการณ์ของตนเองให้มากขึ้น ด้วยการทดลองทำสิ่งใหม่ๆ ท่านจึงลาออกมาประกอบธุรกิจ ซึ่งก็ประสบความสำเร็จ ด้วยการดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการหลายบริษัท


ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยูธยา (8) เมื่อเริ่มเข้าใจชีวิตนักธุรกิจ ท่านก็เปลี่ยนไปชิมลางทางการเมือง ด้วยการลงสมัคร ส.ส.สังกัดพรรคพลังธรรม  ได้รับการเลือกตั้งเป็น ส.ส.อยู่ 3 – 4 สมัย และได้รับตำแหน่งสำคัญๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับการศึกษา ได้แก่ กรรมาธิการการศึกษา กรรมาธิการวิทยาศาสตร์ กรรมาธิการสิ่งแวดล้อม เป็นต้น และตำแหน่งสูงสุดที่ได้รับ คือ เป็นเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ คือ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ในขณะนั้น

แม้จะผ่านทั้งชีวิตการเป็นนักธุรกิจและนักการเมือง รวมไปถึงนักเขียนและนักแสดง แต่บทบาทที่โดดเด่นที่สุดของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา เห็นจะเป็นด้านการศึกษา ด้วยความที่ท่านได้รับการยอมรับว่าเป็นอัจฉริยะของโลกคนหนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่ามีรากฐานมาจากความสำเร็จด้านการศึกษาเรียนรู้ ทว่าตัวท่านเองกลับให้แนวคิดว่า การเรียนรู้จากภายนอก คือ จากสถาบันการศึกษา หรือแหล่งค้นคว้าต่างๆนั้น ยังไม่สำคัญและก่อให้เกิดผลได้เท่ากับ การเรียนรู้จากภายใน คือ การเรียนรู้โดยเริ่มจากรู้จักตัวเอง
ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยูธยา
หากใครได้เคยติดตามผลงานหรือฟังการบรรยายของ ดร.อาจอง ก็คงจะทราบถึงแนวคิดสำคัญของท่านว่า ดร.อาจองให้ความสำคัญกับการทำสมาธิมาก โดยท่านมักจะเล่าถึงประสบการณ์ของท่านเองว่า ในสมัยเด็กๆ ช่วงที่ท่านไปเรียนอยู่ที่ลอนดอน ท่านเป็นเด็กเกเรคนหนึ่ง ที่ชอบก่อเรื่องวิวาทไปทั่ว แล้วมาวันหนึ่งเหมือนมีบางสิ่งบางอย่างดลใจให้ท่านฉุกคิดได้ว่า ตนเองกำลังทำตัวเหลวไหล ไร้สาระอยู่ จึงเป็นจุดเปลี่ยนให้ท่านหาสิ่งที่ดีมีคุณค่าแก่ชีวิต จนได้เรียนรู้การทำสมาธิตามวิถีพุทธจากหนังสือในห้องสมุดโรงเรียน ในขณะที่มีอายุ 15 ปี และได้ฝึกสมาธิตั้งแต่นั้นมา

อานิสงส์จากการปฏิบัติ ทำให้ชีวิตของเด็กหนุ่มคนหนึ่งเปลี่ยนไปในทางบวกขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เริ่มจากอารมณ์ที่เย็นลง จิตใจที่สงบนิ่ง ผ่อนคลาย มีพลัง ส่งผลถึงการเรียนดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ คือ จากที่เคยสอบได้ที่โหล่ กลับกลายมาเป็นสอบได้ที่ 1 ตลอด จนได้รับรางวัลจากนายกรัฐมนตรีอังกฤษ ทั้งๆที่ตัวท่านเองก็บอกว่า ไม่ได้ก้มหน้าก้มตาเรียนหนักหนาอะไร เพียงแค่อานุภาพจากการทำสมาธิทำให้ความจำดีขึ้นเท่านั้น

ดร.อาจองยังได้ยกตัวอย่างบุคคลสำคัญในอดีตที่อาศัยพลังแห่งสมาธินำพาให้ประสบความสำเร็จ เช่น เซอร์ ไอแซค นิวตัน ที่ใช้เวลาว่างนั่งสงบนิ่งใต้ต้นแอปเปิ้ล จนจิตเกิดสมาธิ และเกิดแนวคิดในการค้นหาข้อเท็จเกี่ยวกับนำ้หนักของวัตถุจนค้นพบแรงโน้มถ่วง หรืออัลเบิร์ต ไอสไตน์ ที่เคยกล่าวไว้ว่า “การหยั่งรู้ด้วยตัวเองไม่ได้มาจากการศึกษา ไม่ได้มาจากความพยายาม แต่มันมาจากใจโดยตรง ถ้าเราเข้าถึงใจของเราได้ สมาธิก็จะเกิด ปัญญาก็เกิดขึ้น”

แม้แต่ตัวท่านเองก็ยังเคยใช้วิธีการทำสมาธิเป็นตัวช่วยในระหว่างการคิดค้นวิธีการควบคุมยานไวกิ้งขององค์การนาซ่าเพื่อลงจอดบนดาวอังคาร ( ตามที่ผมเคยเล่าไว้ในตอนที่แล้ว) จึงไม่น่าแปลกใจว่า ทำไม ดร.อาจอง จึงให้ความสำคัญกับกระบวนการ “หยั่งรู้ด้วยตัวเอง” โดยเน้นที่การทำสมาธิเป็นอันดับแรก เห็นได้จากแนวคิดที่นำเสนอผ่านสื่อ หรือการบรรยายต่างๆ เช่น

ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยูธยา
“…..ผมมุ่งไปที่จิตใจของมนุษย์มากกว่า ต้องการให้คนค้นพบสิ่งที่สงบสุขอยู่ในตัวเองมากกว่า เพราะเราไม่สามารถค้นพบจากวิทยาศาสตร์ หรือโลกภายนอกได้เลย….”

“….พอเราฝึกสมาธิ ความรู้สึกของเรามันจะขยายตัวออกไปกว้างใหญ่ พอเป็นอย่างนี้เท่ากับว่ามันขยายไปที่ไหนเราก็รู้ตรงนั้น ถ้าเราอยากจะรู้ว่าข้างหนึ่งของโลกเรากำลังเกิดอะไรขึ้น เรานั้งสมาธิขยายความรู้สึกของเราออกไป มันเป็นจิตใจที่เราขยายออกไปให้ได้ แล้วจะรู้เรื่องอะไรก็ได้….

“…..เราต้องรู้จักตัวเองให้มากขึ้น แล้วเราจะรู้ว่ามีสิ่งที่ดีมากมายในตัวเราที่ยังไม่เคยใช้ เราใช้สมองไม่ถึง 10% เราต้องรู้จักใช้สมองของเราอย่างเต็มที่ แต่เมื่อเราไม่รู้จักตัวเอง เราไม่รู้จักคนอื่น เราจึงเข้ากับคนอื่นไม่ค่อยเป็น เพราะฉะนั้นทุกอย่างจึงต้องเริ่มจากตัวเรา การศึกษาต้องช่วยให้เด็กรู้จักตัวเอง การฝึกสมาธิจะช่วยให้รู้จักตัวเอง เพราะเป็นการเข้าไปสู้ใจของตัวเอง ช่วยให้ความจำดีขึ้น การเรียนการศึกษาดีขึ้น….”
ดร.อาจอง กับเด็กๆ
ด้วยแนวคิดต่างๆเหล่านี้ เมื่อท่านได้มีโอกาสทำงานเกี่ยวกับการศึกษาโดยตรง ด้วยการก่อตั้งโรงเรียนสัตยาไส ที่ อ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี ซึ่งท่านได้แนวคิดและแรงบันดาลมาจาก ท่านสัตยาไสบาบา นักการศึกษาชาวอินเดีย ที่ท่านเคยได้พบเมื่อคราวไปศึกษาดูงานที่นั่น ประกอบกับท่านเองก็มีแนวคิดจะมุ่งเน้นการ “สร้างคน” อยู่แล้ว นักเรียนในโรงเรียนสัตยาไสของท่านจึงได้รับการปลูกฝังด้วยการมุ่งเน้นกระบวนการ “รู้จักตัวเอง” เป็นอันดับแรก ด้วยความมุ่งหวังของท่านที่จะสร้างสรรค์บุคคลากรรุ่นใหม่ของประเทศให้มีคุณภาพ เป็นคนดีก่อนคนเก่ง ตามแนวคิดที่ว่า “….เมื่อเป็นคนดีแล้วจะเก่งได้เอง แต่การเป็นคนเก่ง ยากที่จะเป็นคนดี…”


ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยูธยา (5)นอกจากบทบาทด้านการศึกษาแล้ว อีกบทบาทหนึ่งของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยาที่ดูจะโดดเด่นไม่แพ้กัน คือภาพของการเป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม ปรากฏการณ์และการเปลี่ยนแปลงต่างๆของโลก ดังจะเห็นได้จากการที่ท่านออกมาเตือนภัยเกี่ยวกับภัยพิบัติต่างๆตามสื่ออยู่หลายครั้ง เช่น การเตือนภัยเกี่ยวกับพายุสุริยะ การให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับสถานการณ์อุทกภัย เป็นต้น แม้ว่าบางครั้ง การออกมาเตือนของท่านจะก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์หรือความไม่พอใจของคนบางกลุ่ม ในทำนองว่าก่อให้เกิดความตื่นกลัวเกินเหตุ แต่คนส่วนใหญ่ก็เข้าใจในเจตนาของท่าน  และท่านก็ยังคงเป็น “ผู้หยั่งรู้” ที่ได้รับการยอมรับมาโดยตลอด

การ “หยั่งรู้”ของอัจฉริยะท่านนี้ ไม่ว่าจะเป็นการหยั่งรู้จากภายในหรือภายนอก แต่ท่านก็ได้หยั่งรู้นั้นก่อให้เกิดประโยชน์แก่มวลมนุษยชาติมาแล้ว จึงสมแล้วที่เส้นทางอัจฉริยะของท่านจะได้รับการขนานนามว่า “อัจฉริยะสีขาว”
ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยูธยา (6)