26 พฤษภาคม 2556

สิ่งที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังท่าทีแข็งกร้าว ของผู้นำกองทัพที่ชื่อ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา


ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก ( ผบ.ทบ.) คือตำแหน่งผู้นำสูงสุดของกองทัพบก ซึ่งตั้งแต่ในอดีตมาจนถึงปัจจุบัน ผู้ที่ดำรงตำแหน่งดังกล่าวจะมีบทบาทสำคัญทั้งด้านการทหาร ด้านการรักษาความมั่นคงของประเทศ รวมถึงการพัฒนาประเทศในฐานะผู้นำเหล่าทัพที่มีกำลังพลในความควบคุม ซึ่งสามารถมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศในด้านต่างๆได้ไม่น้อย

แต่ในห้วงหลายปีที่ผ่านมา ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกได้เข้าไปมีบทบาทสำคัญทางการเมืองอีกด้านหนึ่ง ทำให้ผู้ที่รับตำแหน่งนี้หลายท่านกลายเป็นบุคคลที่ถูกจับตามองในวงการเมือง และมีภาพที่ถูกนำเสนอผ่านสื่อต่างๆมากขึ้น ทั้งในแง่บวกและลบ

หนึ่งในนั้นคือ พลเอกประยุทธ์  จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกท่านปัจจุบัน ซึ่งเข้ารับตำแหน่งมาตั้งแต่ 1 ต.ค.2553
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา :ไอดอลแมน

แต่ในวันนี้ บล็อก“ไอดอลแมน” มิได้หยิบยกเรื่องราวของท่านมานำเสนอในแง่มุมวิพากษ์วิจารณ์ทางการเมือง หากแต่เป็นมุมมองด้านการเป็นบุคคลตัวอย่าง โดยเฉพาะในความเป็นผู้นำและความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันว่า คุณลักษณะสองประการนี้ปรากฏอยู่ในตัวผู้นำสูงสุดของกองทัพบกท่านนี้อย่างเด่นชัด

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประวัติความเป็นมาโดยคร่าวๆของท่าน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือ “บิ๊กตู่” เกิดที่จังหวัดนครราชสีมา เมื่อวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ.2497 สำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาจากโรงเรียนวัดนวลนรดิศ เป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 12 ( ตท.12) นักเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า รุ่น 23

เส้นทางชีวิตราชการ “บิ๊กตู่” เริ่มต้นรับราชการที่หน่วย “ทหารเสือราชินี” ( กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ หรือ ร.21 รอ.) ตั้งแต่เป็นผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 2  กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ ( ผบ.ร.21 พัน.2 รอ.)  เป็นเสนาธิการกรมฯ รองผู้บังคับกรม และขึ้นเป็นผู้บังคับการกรมฯตามลำดับ ก่อนจะย้ายมาเป็นรองผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ ( พล.ร.2 รอ.) และเป็นผู้บัญชาการกองพลฯ  ต่อจากนั้นได้รับตำแหน่งเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 1 ในยุคที่ “บิ๊กป๊อก” พลโทอนุพงษ์ เผ่าจินดา ( ยศในขณะนั้น) เป็นแม่ทัพภาค และ “บิ๊กบัง” พลเอกสนธิ บุณยรัตนกลิน เป็นผู้บัญชาการทหารบก

ในเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่นำโดยบิ๊กบังนั้น “บิ๊กตู่”ซึ่งขณะนั้นมียศพลตรี เป็นนายทหารคนหนึ่งที่มีบทบาทในการยึดอำนาจจากอดีตนายกฯทักษิณ โดยรับคำสั่งตรงจาก “บิ๊กป๊อก” ซึ่งว่ากันว่าเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องที่สนิทกันมาก เมื่อ “บิ๊กป๊อก”ได้เลื่อนเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก “บิ๊กตู่” ก็ได้เลื่อนยศเป็น “พลโท” และครองตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 1 สืบต่อมา  รวมถึงการได้รับตำแหน่งสำคัญทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติในยุค คมช. , เป็นรองหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน , รองผู้อำนวยการกองอำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน   , เป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน ( ภายหลังจากได้รับตำแหน่ง ผบ.ทบ.แล้ว )  และเป็นหนึ่งในคณะดำเนินคดีศาลยุติธรรมระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา พ.ศ. 2554
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา17
พลเอกประยุทธ์  จันทร์โอชา ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารบกคนที่ 37 ต่อจากพลเอก อนุพงษ์  เผ่าจินดา ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2553 จนถึงปัจจุบัน

ด้านชีวิตครอบครัว พลเอกประยุทธ์ สมรสกับรองศาสตราจารย์นราพร จันทร์โอชา อาจารย์ประจำสถาบันภาษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีบุตรสาวฝาแฝดสองคนคือ น.ส.ธัญญา และ น.ส.นิฏฐา จันทร์โอชา

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
พล.อ.ประยุทธ์ มีภาพลักษณ์เด่นในเรื่องความมีภาวะผู้นำสูง โดยเฉพาะภายหลังรับตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก และมีภาพออกสื่อที่คุ้นตากันดีคือ ท่าทางที่ขึงขัง และน้ำเสียงที่หนักแน่น แข็งกร้าวเวลาให้สัมภาษณ์ โดยเฉพาะในประเด็นที่มีการพาดพิงถึงกองทัพหรือสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งแน่นอนว่าเป็นจุดที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ส่วนหนึ่งชื่นชมในความเข้มแข็ง เด็ดขาด บุคคลิกสมกับความเป็นผู้นำทหาร ในขณะที่อีกส่วนหนึ่งก็มองว่าเป็นท่าทีที่แข็งกร้าวเกินไป และหลายครั้งก็กลายเป็นภาพด้านลบที่เสมือนว่าท่านใส่อารมณ์รุนแรงในการตอบโต้กับสื่อมวลชน

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา2
แต่หากมองย้อนกลับไปตั้งแต่ก่อนที่ท่านจะมายืนอยู่จุดนี้ “บิ๊กตู่”ผู้นี้ได้ชื่อว่าเป็นนายทหารที่มีความสุขุมนุ่มลึกและการแสดงออกที่นุ่มนวลมาแต่ไหนแต่ไร ว่ากันว่า แต่ก่อนนั้น ท่านจะลงท้ายคำพูดของท่านว่า “นะจ๊ะ”อย่างติดปาก จนได้ฉายาว่า “ตู่นะจ๊ะ” และในช่วงที่ท่านเริ่มปรากฏตัวออกสื่อเป็นช่วงแรกๆในฐานะ “น้องรัก”ของ พลเอกอนุพงษ์ ผบ.ทบ.ในขณะนั้น สื่อหลายแขนงก็เอ่ยปากชมว่า ท่านเป็นนายทหารที่มีบุคคลิกอ่อนโยนกว่าพลเอกอนุพงษ์อย่างเห็นได้ชัด จนกลายเป็นเสียง ( แอบ) เชียร์ให้ท่านเป็นผู้รับตำแหน่งต่อจากพล.อ.อนุพงษ์ ซึ่งที่จริงท่านก็เป็นหนึ่งในแคนดิเดต ผบ.ทบ.อยู่แล้ว

จนเมื่อท่านได้รับตำแหน่ง ผบ.ทบ.ตามคาดหมายของใครหลายๆคน ท่าทีที่เปลี่ยนไปเป็นแข็งกร้าวขึ้น ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ทำนองว่า “บิ๊กตู่เปลี่ยนไป” แต่ในขณะเดียวกัน คนส่วนใหญ่จำนวนไม่น้อยก็เข้าใจ ว่านั่นคือการปรับตัวเพื่อแสดงภาวะผู้นำให้สมกับ “หัวโขน” ที่สวมอยู่ เนื่องด้วยท่านเข้ามารับตำแหน่งท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังคุกรุ่น มีการพาดพิงและดึงกองทัพเข้าไปพัวพัน มีการพยายาม “ดิสเครดิต” สถาบันทหาร แล้วยังจะสถานการณ์ความไม่สงบทางภาคใต้ที่ยังเรื้อรัง  ซึ่งปัญหาต่างๆเหล่านี้มีผลต่อความเชื่อมั่นของประชาชนต่อกองทัพ รวมไปถึงขวัญและกำลังใจของทหารเองด้วย ภาพของผู้นำกองทัพที่เข้มแข็งจึงมีความจำเป็นและสำคัญในการกอบกู้สถานการณ์ดังกล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ เองก็เคยยอมรับว่า การแสดงที่แข็งกร้าวจนหลายฝ่ายมองว่าเป็นเหมือนการกร้าวร้าวนั้น จริงๆแล้วก็เพียงแค่การแสดงภาวะผู้นำ แต่โดยเนื้อแท้ของท่านแล้วไม่ได้มีความคิดเป็นปฏิปักษ์หรือแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกับกลุ่มการเมืองใดๆทั้งสิ้น ท่านพร้อมที่จะร่วมงานกับทุกฝ่าย เพื่อสร้างประโยชน์แก่ประชาชนและส่วนรวมให้มากที่สุด

และเมื่อมองด้วยใจเป็นกลางและให้ความเป็นธรรมแก่ท่าน จะพบว่า นับตั้งแต่ท่านเข้ามารับตำแหน่ง กองทัพบกภายใต้การบัญชาการของท่านได้ถูกขับเคลื่อนให้เข้าไปมีบทบาทในการพัฒนาประเทศและช่วยเหลือประชาชนจนเป็นที่กล่าวขวัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เห็นเด่นชัด คือ ในสถานการณ์มหาวิกฤตอุทกภัยครั้งใหญ่ปี 2554 ที่กองทัพบกส่งกำลังพลและยุทโธปกรณ์ออกช่วยเหลือประชาชนที่ประสบความเดือดร้อน ทั้งการช่วยลำเลียงผู้คนและทรัพย์สินออกจากพื้นที่ประสบภัย การแจกถุงยังชีพ การสนับสนุนยานยนต์ขนส่งในการเดินทาง จนกระทั่งช่วยฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัยภายหลังน้ำลด ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ยกนิ้วว่า ทหารคือ “ฮีโร่”ของพวกเขาเลยทีเดียว

นอกจากนั้น ในฐานะผู้นำสูงสุดของเหล่าทัพ พล.อ.ประยุทธ์ยังมีบทบาทสำคัญในการนำกองทัพประกาศสงครามกับยาเสพติด และเดินหน้าแก้ไขสถานการณ์ความไม่สงบภายในประเทศ ซึ่งเมื่อแม่ทัพใหญ่เป็นตัวตั้งตัวตีในการเดินเกมรุกเช่นนั้น บรรดาทหารตั้งแต่แม่ทัพนายกองลงไปต่างก็มีขวัญและกำลังใจในการสนองตอบต่อนโยบายของผู้นำ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อความสงบสุขร่มเย็นของปวงประชา

ในด้านการบำรุงขวัญและกำลังใจของกำลังพลในกองทัพ ก็เป็นที่ยอมรับกันว่า ผู้บัญชาการทหารบกท่านนี้เป็นผู้ที่ให้ความสำคัญกับสวัสดิการและดูแลความเป็นอยู่ของกำลังพลและครอบครัว รวมทั้งสนับสนุนกิจกรรมและการดำเนินการต่างๆอย่างเต็มที่

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา9
ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้คือ การสนับสนุนด้านกีฬา แก่สโมสรฟุตบอล อาร์มี่ ยูไนเต็ด ( ทีมทหารบกเดิม) ด้วยการเป็น ผบ.ทบ.ท่านแรกที่เข้ารับตำแหน่งประธานสโมสรฯด้วยตนเอง ( จากแต่เดิมที่เจ้ากรมสวัสดิการทหารบกจะเป็นผู้ดำรงตำแหน่งนี้) ซึ่งก็ไม่ได้ดำรงตำแหน่งแค่ในนาม ทว่า “บิ๊กตู่” ยังลงไปดูแลทีมอย่างใกล้ชิด ด้วยการติดตามชมและเชียร์การแข่งขันแทบทุกนัด และสนับสนุนการปฏิรูปทีมใหม่ จนวันนี้ “อาร์มี่ ยูไนเต็ด” กลายเป็นหนึ่งในสโมสรฟุตบอลไทยที่แข็งแกร่งและเป็นที่จับตามองของคู่แข่งขัน

อีกภาพลักษณ์หนึ่งที่โดดเด่นของ พล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา คือความเป็นนายทหารที่มีความจงรักภักดีต่อสถาบันหลักของชาติเป็นอย่างสูง จะเห็นได้จากการออกมาตอบโต้บุคคลผู้แสดงออกในลักษณะพาดพิงสถาบันอย่างรุนแรงและเด็ดขาดในหลายๆครั้ง อย่างล่าสุดก็กรณีที่รายการโทรทัศน์ “ตอบโจทย์ประเทศไทย ตอน สถาบันพระมหากษัตริย์ ” ทางสถานีโทรทัศน์ ทีวีไทย ( ThaiPBS) นำเสนอมุมมองของนักวิชาการในลักษณะพาดพิงสถาบันพระมหากษัตริย์ เมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ ได้ออกมาตอบโต้อย่างหนักหน่วง ถึงกับเอ่ยปากไล่ตะเพิดว่า หากใครที่อึดอัดใจหรือไม่มีความสุขกับการอยู่ในระบอบการปกครองที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ก็ให้ออกไปจากประเทศ เพราะประเทศไทยของเราที่อยู่รอดปลอดภัยและสงบสุขร่มเย็นตั้งแต่อดีตมาถึงปัจจุบัน ก็ด้วยพระบารมีแห่งองค์พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ นับเป็นปรากกฏการณ์ที่สร้างความฮือฮาอย่างมาก ที่บุคคลระดับผู้นำกองทัพออกโรงตอบโต้ด้วยตนเอง
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา21
จากภาพลักษณ์ดังกล่าว แม้จะถูกวิจารณ์จากคนบางกลุ่มในทำนองว่า เป็นผู้ผูกขาดความจงรักภักดี หรือแสดงออกในลักษณะสุดโต่งจนเกินไป แต่นั่นก็คือภาพต้นแบบสำคัญที่ปลุกกระแสความจงรักภักดี ไม่เฉพาะแค่ในหมู่ทหาร หากแต่ยังขยายวงกว้างออกไปยังประชาชนทั่วไป ซึ่งล้วนแต่มีความรักและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อได้รับแรงกระตุ้นและหนุนนำจากการแสดงออกของผู้นำกองทัพ จึงกลายเป็นหนึ่งในพลังเครือข่ายปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์จากการมุ่งโจมตีของกลุ่มผู้ไม่หวังดี ดังที่เห็นปรากฏอยู่ในทุกวันนี้

จากคุณลักษณะที่โดดเด่นที่ยกตัวอย่างมานี้ เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา ได้รับการโหวตให้เป็นสุดยอด ซีอีโอ CEO ของภาคราชการและเจ้าหน้าที่รัฐแห่งปี 2554 ในความทรงจำและขวัญใจของตัวแทนกลุ่มธุรกิจ SME ใน 5 อันดับแรกหรือ ท็อปไฟว์ โดยได้รับคะแนนนำเป็นอันดับที่หนึ่ง ร้อยละ 59.1 ด้วยความเป็นสุดยอดของความเป็นผู้นำ กล้าคิดกล้าตัดสินใจ สมาร์ท สมกับเป็นชายชาติทหาร ฟื้นฟูศรัทธาของประชาชนต่อกองทัพ ทำให้กองทัพเป็นกองทัพของประชาชน รวดเร็วฉับไวไม่ทอดทิ้งประชาชน เป็นต้น

และก็เป็นเหตุผลสำคัญที่บล็อก “ไอดอลแมน” นำเอาเรื่องราวของท่านมาถ่ายทอดในฐานะบุคคลต้นแบบอีกคนหนึ่งของสังคมไทย
 

ไม่มีความคิดเห็น: