"ไอดอลแมน" ของผมจำนวนไม่น้อย จึงเป็นนักเขียน หรืออย่างน้อยก็เคยทำหน้าที่เป็นผู้ถ่ายทอดเรื่องราว ความรู้ แนวความคิด ชีวิตและประสบการณ์ของพวกเขาและเธอ ผ่านตัวหนังสือ โดยผม ( และผู้อ่านคนอื่นๆ ) ก็เข้าไปซึมซับเรื่องราวเหล่านั้นมาเป็นพื้นฐานแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต
" ครูอ้อย " ฐิตินาถ ณ พัทลุง ก็เป็นหนึ่งใน "ไอดอลแมน"เหล่านั้น ที่ผมขอนำเรื่องราวของเธอมาบรรจุไว้เป็นเกียรติของบล็อกนี้
ย้อนหลังไปสัก 5- 6 ปีที่แล้ว ผมเห็นหนังสือ "เข็มทิศชีวิต" ( ภาคแรก ) ของ ฐิตินาถ ณ พัทลุง ที่ร้านหนังสือชั้นนำเกือบทุกร้านที่ผมเข้าไปเยี่ยมเยียน ไม่เว้นแม้กระทั่งแผงหนังสือในร้าน 7 - 11 จากที่มองเผินๆว่า คงเป็นหนังสือแนว How to อีกเล่มหนึ่งเหมือนๆกับหนังสือประเภทนี้ซึ่งมีอยู่ไม่น้อยในตอนนั้น ทว่าผมไม่ค่อยอ่านจริงจังเป็นเรื่องเป็นราวเท่าไหร่ ก็กลายเป็นชักจะเริ่มสนใจหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา
ลองพลิกดูเนื้อหาคร่าวๆ เห็นว่า เป็นหนังสือที่น่าอ่านจริงๆ ด้วยพลังแห่งถ้อยคำที่กระทบนัยน์ตาและความรู้สึกในตั้งแต่เปิดอ่านดูได้ไม่กี่หน้า ผมจึงไม่ลังเลที่จะควักกระเป๋าซื้อหนังสือเล่มนั้นมาไว้เป็นเป็นสมบัติส่วนตัว เพื่อให้มีกรรมสิทธิ์ในการ "อ่านไป คิดไป" ได้เต็มที่
และ "เข็มทิศชีวิต" ก็ไม่ทำให้ผมผิดหวังจริงๆ จากเดิมที่ก่อนหน้านั้นผมไม่ค่อยอ่านหนังสือแนวนี้เท่าไหร่ เพราะจะถนัดการ "อ่านเอาเรื่อง" มากกว่าอ่านเพื่อคิด วิเคราะห์ ทว่า "ฐิตินาถ ณ พัทลุง" เป็นนักเขียนคนแรกที่โน้มน้าวความสนใจของผมให้เข้ามาหาหนังสือแนวจิตวิทยาประยุกต์
สิ่งที่ผมประทับใจจากหนังสือ "เข็มทิศชีวิต" ตั้งแต่ภาคแรกนั้น นอกเหนือจากความงดงามของแนวคิดและถ้อยคำที่ทรงพลัง นั้นแล้ว เรื่องราวชีวิตของผู้เขียนซึ่งถ่ายทอดไว้ตั้งแต่บทแรก ก็นับเป็นประสบการณ์ชีวิตมหัศจรรย์และน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง
จากผู้หญิงคนหนึ่งที่มีต้นทุนชีวิตดีเยี่ยม ประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างน่าอิจฉาตั้งแต่อายุยี่สิบต้นๆ เรียนจบปริญาโทจากอังกฤษ ซื้อรถเบนซ์ของตัวเองได้ และมีธุรกิจเป็นของตัวเอง แต่แล้วโชคชะตาพัดพาให้เกือบจะมีชีวิตติดลบ อันเนื่องจากการเสียชีวิตของสามีในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ คือ การตั้งบริษัทใหม่ ทิ้งไว้เพียงมรดกเป็นภาระหนี้สินนับสิบล้านบาท
ทั้งความเศร้าโศกจากความสูญเสียและภาระหนี้สิน ล้วนเข้ามาบั่นทอนกำลังใจในการมีชีวิตอยู่จนแทบไม่เหลือ ทว่าด้วยกำลังใจจากคนรอบข้าง รวมถึงลูกชายวัยไม่ถึงขวบ ทำให้เธอปาดน้ำตาแห่งความอ่อนแอ แล้วลุกขึ้นมาบอกตัวเองอย่างกล้าหาญว่า เธอต้องมีชีวิตอยู่ และต้องดำเนินชีวิตให้ดีที่สุดด้วย
นี่แหล่ะ คือเธอหล่ะ..."ฐิตินาถ ณ พัทลุง" หรือ "ครูอ้อย" ผู้จุดประกาย "เข็มทิศชีวิต" ให้คนนับล้าน
"เข็มทิศชีวิต" ไม่เพียงแต่ประสบความสำเร็จในรูปแบบของหนังสือชุด ซึ่งล่าสุดเปิดตัวเล่มที่ 5 "เข็มทิศชีวิตมั่งคั่ง" ไปเมื่อ เดือนตุลาคมปีที่แล้วเท่านั้น
ทว่าครูอ้อย ยังเปิดหลักสูตรการอบรม "เข็มทิศชีวิต" ที่เน้นเรื่องการเรียนรู้ด้านจิตใต้สำนึก NLP ( Neuro-Linguistic Programming ) คือให้ผู้เข้ารับการอบรมได้ค้นหา และจัดการกับปมในอดีตของตน เพื่อให้หลุดพ้นจากเงื่อนปมแห่งชีวิต อันจะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงชีวิตในปัจจุบันและอนาคตให้ดีและมีความสุขมากขึ้น
หลักสูตรดังกล่าว ถือกำเนิดขึ้น หลังจากที่ครูอ้อยได้รับการรับรองเป็นผู้เชี่ยวชาญการสอนด้านจิตใต้สำนึก Certified Instructor จากสถาบัน National Guild of Hypnotists NGH ซึ่งเป็นสถาบันที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุด ทางด้านการดูแลบริหารจิตใต้สำนึกในภาวะพิเศษ Hypnotherapy การบำบัดจิตใต้สำนึก ทำให้เธอสามารถดำเนินการสอนเองได้ทุกหลักสูตรที่เปิด และมีปรับเปลี่ยนพัฒนาหลักสูตรอย่างก้าวกระโดดลึกซึ้งในทุกครั้งที่สอน
นอกจากนี้ ครูอ้อย ฐิตินาถ ณ พัทลุง ยังเป็น Training Specialist และ Certified Trainer of Neuro-Linguistic Programming NLP ใน กรุงเทพ ประเทศไทย ที่ได้รับไลเซนต์ ในการฝึกอบรม Licensed Practitioner of NLP : Neuro-Linguistic Programming ผู้ปฏิบัติการให้คำปรึกษาแบบ NLP ซึ่งผู้เรียนได้รับใบประกาศณียบัตรโดยตรง จาก ดร.ริชาร์ด แบนด์เลอร์ สถาบันเอ็นแอลพี NLP Society ผู้คิดค้น ศาสตร์ NLPแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา
ผมเองยังไม่เคยได้เข้ารับการอบรมหลักสูตรใดๆของ "เข็มทิศชีวิต" แต่ติดตามอ่านและเป็นแฟนหนังสือ "เข็มทิศชีวิต" มาตั้งแต่เล่มแรก และทุกครั้งที่ได้สัมผัสถ้อยคำและความงดงามแห่งแนวคิดในหนังสือชุดนี้แต่ละเล่ม ล้วนแต่ทำให้ผมได้แง่คิดและกำลังใจเสมอ
ผมเคยเดินป่ามาบ้าง เคยผ่านงานที่ใช้เข็มทิศในการพาตัวเองไปยังเป้าหมาย ทำให้ตระหนักถึงความสำคัญดีว่า ในยามปกติ เข็มทิศอาจจะเป็นอุปกรณ์ชิ้นเล็กๆชิ้นหนึ่งที่พกติดกระเป๋า ( ซึ่งเดี๋ยวนี้ส่วนใหญ่ใช้ GPS กันจนเข็มทิศแทบจะไม่มีบทบาทมากนักแล้ว) แต่เชื่อเถอะครับว่า หากวันไหนคุณหลงป่า ตกอยู่ในสภาวะมืดมน มองไม่เห็นหนทางเหนือใต้ ระบบ GPS ใช้งานไม่ได้ เข็มทิศจะมีคุณค่ายิ่งใหญ่ขึ้นมาทันที
บางครั้งการเดินป่ากับการใช้ชีวิตก็ไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ เพราะฉะนั้น หากมีใครสักคนคนยื่นเข็มทิศให้คุณ ผมว่าน่าจะขอบคุณเขา ( หรือเธอ) คนนั้นมากๆเลยหล่ะ ว่าป่ะ....^^
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น